สวัสดีค่ะ กลับมารีวิวการเดินทางครั้งใหม่กับที่ที่เดิม "เชียงใหม่" เพิ่มเติมคือ "หน้าร้อน"

อ่านไม่ผิดคะครั้งแรกกับการไปเที่ยวเชียงใหม่หน้าร้อนของเรา ปกติจะชอบไปปลายฝนต้นหนาว

หรือไม่ก็หน้านาว แต่ครั้งนี้กดตั๋วโปร 0 บาท กับเดอะแก๊งได้ช่วงเวลา 06-10 มีนาคม 2019

บอกเลยว่า "เชียงใหม่" มาเที่ยวบ่อยจนจะเป็นบ้านหลังที่ 3 ไปแล้วนะ เพราะยิ่งมาบ่อยก็ยิ่งหลงรัก

มาดูกันหน้าร้อนเราจะไปเที่ยว พักค้างคืน กันที่ไหนในทริป 5 วัน 4 คืน

แพลนการเดินทางท่องเที่ยว 5 วัน 4 คืน ในครั้งนี้ **หนีขึ้นไปที่บนดอย ที่สูงกัน เพราะรู้ว่ามาช่วงควันไฟ"

วันที่หนึ่ง : ภูเก็ต-เชียงใหม่-หมู่บ้านแม่กลางหลวง "นอนอินทนนท์ คีรีมายา แม่กลางหลวง"
วันที่สอง : ดอยอินทนนท์ , เดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน , น้ำตกผาดอกเสี้ยว (น้ำตกรักจัง), ชม พระอาทิตย์ตก , นอนอินทนนท์ คีรีมายา แม่กลางหลวง
วันที่สาม : หมู่บ้านแม่กลางหลวง - หมู่บ้านขุนแปะ "ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ "นอนขุนแปะกระท่อมตะวันไรวินท์”
วันที่สี่ : หมู่บ้านขุนแปะ -เมืองก๋าย อ.แม่แตง"นอนที่ไร่ชาลุงเดช"
วันที่ห้า : ไร่ชาลุงเดช - สนามบิน (เชียงใหม่ - ภูเก็ต)
-------------------------------
มาเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน บินจากภูเก็ต - เชียงใหม่ ในรอบเช้าก็จะถึงเชียงใหม่ประมาณ 10.35 ก็ออกมารอพี่จะมาส่งรถเช่า นัดกันที่สนามบินก็ได้รับรถและเก็บกระเป๋าขึ้นรถ พร้อมออกเดินทางออกจากสนามบินก็ประมาณ 11.00 ทริปนี้มี 3 สาว เดอะแก๊งที่เคยมาตะลุยดอยเชียงใหม่กันเมื่อ 3 ปีก่อน มาครั้งนี้ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิม เมื่อคนพร้อมรถพร้อมก็สตาร์เครื่องออกรถกัน มุ่งหน้าไปยังนิมมานกันไปหาอะไรกินมื้อเที่ยงกันก่อน

มาตามหาร้านอาหารเหนือกันที่ "Kinlum Kindee กิ๋นลำกิ๋นดี"

อาหารเหนือมื้อแรกเมื่อมาถึงเชียงใหม่และครั้งแรกกับร้านนี้ เพราะก่อนมาได้เจอร้านจากเพื่อนที่เช็คอินเห็นแล้วแต่ละเมนูน่ากินมากเลย

ที่ตามมาเพราะ"ปูอ่อง" นี่แหละ อยากกินมานานแล้วมาครั้งนี้ได้กินสมใจเลย ร้านนี้อร่อยมากเด้อปูอ่องนี่ไม่ได้มาเล่นๆนะโคตรของโคตรมันปูเลย

"ปูอ่อง"

จิ้นส้มหมกไข่

ชุดยินดีเจ้า ไส้อั่วขมิ้น น้ำพริกหนุ่ม ไข่ต้ม ผักลวก ข้าวนึ่ง

"แกงโฮะ"

📍 Kinlum Kindee - กิ๋นลำกิ๋นดี นิมมานเหมินท์ ซอย 9 เปิดทุกวัน ตรงข้ามโรงแรม Akyra

ครัวบริการ 11.00-20.30น. ร้านปิด 21.00น.


ร้านสตาร์บัคส์ สาขานิมมาน ซอย 9

โฉมคือสวยมาก ด้านในมีสองชั้นเหมือนเดิม แต่กว้างขึ้นมาก กลับมาในรูปแบบของ Experience Bar พบกับเครื่องดื่ม Nitro Cold Brew พร้อมเครื่องชงหลากหลายชนิดทั้ง Syphon, Chemex, Pour over รวมถึง Black Eagle

มีให้เลือกทั้งโซนเอาร์ดอร์ด้านนอก บรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ สบายเย็นตา

มาแล้วก็ต้องลองเมนูที่แนะนำ "Nitro Cold Brew" เป็นเมนูกาแฟที่ลงตัวมากๆ ละมุนมาก



เมืองเชียงใหม่ -----> หมู่บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง

เดินทางออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.จอมทอง ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราในคืนแรกก็คือ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" โดยออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57 ซึ่งอยู่ก่อนถึงตัวอำเภอจอมทอง ประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที

เมื่อถึงสามแยกไฟแดงจอมทอง-ดอยอินทนนท์ ก็เลี้ยวขวาขับตรงขึ้น มาถึงด่านตรวจจุดที่ 1 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (กม.8) ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าท่องเที่ยวอุทยาน

หมู่บ้านแม่กลางหลวง (ดอยอินทนนท์ กม.26) ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง " ปกาเกอะญอ "ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ มาในช่วงมีนาคมเป็นหน้าร้อนกันแล้วแต่ที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงอากาศดีเย็นสบายมาก ซึ่งแม้ว่าไม่ได้เห็นความสวยงามของฤดูทำนาขั้นบันได แต่ก็มีความสวยงามในฤดูที่แตกต่าง



ขับรถเข้ามาในหมู่บ้านก็ขับตรงขึ้นไปยังร้าน "กาแฟสมศักดิ์ โถ่บิเบ" บริเวณนั้นจะมีที่จอดรถและคล้ายเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เมื่อเดินเข้ามายังในร้านก็จะได้กลิ่นกาแฟที่หอมลอยแตะจมูกภาพที่จะ เจอซุ้มที่นั่งล้อมกาดำๆที่ตั้งบนไฟก่อด้วยไม้ฟืน ซึ่งเป็นการต้มกาแฟด้วยกาน้ำ ง่ายๆ แล้วก็จะมีพี่ๆ ลุงสมศักดิ์ พูดเชื้อเชิญการต้อนรับให้เรานั่งอย่างกระตือรือร้น ตามด้วยกาแฟสักแก้วก่อนไหม? น้ำกำลังเดือด กาแฟพร้อมเสิรฟ

เข้ามาที่นี่เพราะจะมารับกุญแจที่พักได้จองไว้ก่อนล่วงหน้า "อินทนนท์ คีรีมายาแม่กลางหลวง" ของลุงสมศักดิ์นั้นเอง มาในช่วงหน้าร้อนราคาที่พักก็จะถูกลงหน่อยนะเพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว

กาแฟสดที่นี่ยังเป็นกาแฟบดแบบเก่าๆดูคลาสสิก แต่ขอบอกว่าเข้มข้นหอมกรุ่นกาแฟแท้สดจากต้นมากๆ

มุมเสวนาระหว่างนักท่องเที่ยวกับชาวบ้านแม่กลางหลวง มิตรภาพที่เกิดจากการให้ กาแฟหนึ่งแก้ว


มิตรภาพแห่งขุนเขา กับกาแฟหนึ่งแก้ว

ที่พักคืนนี้ "บ้านปลายฝัน" เป็นชื่อบ้านพักในแค่ละหลัง หลังนี้จะอยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟของลุงสัมศักดิ์ อยู่บริเวณด้านหลังซึ่งมีทางเนินชันขึ้นไป ก็จะเจอต้นกาแฟที่ปลูกไว้ระหว่างก่อนจะถึงบ้านพัก

มาถึงแล้ว "บ้านปลายฝัน" ที่พักทั้งสองคืนมาอยู่บ้านแม่กลางหลวง เดินขึ้นมาจากทางเนินและชันพอสมควรเมื่อถึงทางแยกบ้านพักจะอยู่ขวามือก็เจอบ้านไม้ที่ยกสูงแบบมีใต้ถุนอยู่ประมาณ 3 หลังโดยมีต้นลำไย ต้นกาแฟ ล้อมรอบบริเวณกันเลย แต่ละหลังก็จะมีชื่อบ้านพักติดอยู่ด้านหน้า ส่วนแยกด้านซ้ายมือก็จะเป็นบ้านของชาวบ้านและทางไปยังท้ายหมู่บ้าน

เมื่อขึ้นบันไดบ้านมาก็จะเจอโต๊ะหน้าระเบียงหรือชานบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอเตียงนอนใหญ่ๆ 2 เตียง พร้อมผ้าห่มและผ้าขนหนูจัดวางไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อย และห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ (บ้านหลังนี้จะพักได้ 4 ท่าน)

เก็บกระเป๋านั่งพักให้หายเหนื่อย ชวนเพื่อนออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านกัน ระหว่างรอนัดทานข้าวมื้อเย็นกับพี่ๆที่บ้านแม่กลางหลวง ตัวเรามาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้วส่วนเพื่อนอีกสองคนนั้นเป็นครั้งแรก เลยทำหน้าที่ไกด์เล็กน้อยในการเดินไปชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ

เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขาขั้นบันไดบริเวณลุ่มน้ำแม่กลาง บนดอยอินทนนท์ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อากาศดีเกือบตลอดทั้งปีในหมู่บ้านก็มีโรงเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กเล็ก ไปจนถึงประถมหก

วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ ก็ยังคงเรียบง่าย บ้านเรือนแต่ละหลังก็แบบกระทัดรัด ทำด้วยไม้ยกสูง ใต้ถุนเรือนมีเล้าไก่ เล้าหมู และฟืน จำนวนมาก


โบสถ์คริสต์ชุมชน

สถานทีชิคๆใกล้ชิดธรรมชาติ ทั้งสัมผัสวิถีชีวิตของชาวปะกาเกอะญอ

เดินๆมายังแถวหลังโบถ์ส จะเจอถนนเล็กๆแบบดินแดง บางช่วงก็คอนกรีต เห็นพี่สาวและเด็กชายเดินลงจากเนินเขากันมา
เดอะแก๊ง: เลยถามว่า "พี่ จะไปไหนกันจ้า?"
สาวปกาเกอะญอ: "จะไปหาปลาในลำน้ำด้านล่าง"
เดอะแก๊ง: พวกเราก็ตามไปด้วยนะ
สาวปกาเกอะญอ: ยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า
ไม่รอช้าก็รีบเดินตามลงไปที่ลำธารด้วย แต่บอกเลยว่าพวกเขาเดินเร็วมากเลย สงสัยพวกเรายังไม่ชินกับการเดินบนทางเนินและชันบนดอยกัน


เดินมาถึงลำธารแล้วสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นๆ สดชื่นมากเลย และภาพที่ได้เห็นก็คือพี่สาวลงไปก้มๆที่กำลังหาปลาด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายๆกับสวิง น้องผู้ชายก็เล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ เป็นภาพที่น่ารัก ทำให้พวกเรายิ้มตามไปด้วย

สาวปกาเกอะญอกับอุปกรณ์จับปลาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ใกล้ๆกับลำธารก็จะเป็นพื้นที่ปลูกปลูกข้าวนาขั้นบันได แต่นี้ยังไม่ใช่ฤดูทำนาก็จะเป็นแปลงปลูกดอกดาวเรืองหรือพืชอื่นๆ เวลามาต่างจังหวัด สมองจะเปิด จิตใจแจ่มใส ร่างกายแอคทีฟสุดๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานอย่างหนักหน่วงก็ตาม อย่างนี้แหละ ที่เค้าเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"

เวลาผ่านไปเร็วจนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า พวกเราต้องรีบเดินกลับมายังที่พักเพราะกลัวจะมืดก่อน เดินมาเรื่อยๆ พระอาทิตย์เริ่มตกลับหายไปหลังภูเขาตามด้วยแสงทองตัดกับความเขียวของภูเขาช่างเป็นภาพที่สวยงามมากเลย ภาพจริงมองด้วยตาตัวเองจะสวยกว่าภาพถ่าย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการจะไปเที่ยวมีอยู่ 2 ช่วง คือ
เดือนกันยายน – กลางตุลาคม เป็นช่วงหน้าฝน นาข้าวจะเริ่มเขียวสดดูสวยงาม สบายตา
ปลายเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เป็นช่วงที่นาข้าวออกรวงสีทองเต็มท้องทุ่งเหลืองสวยงาม

กลับมายังบ้านพี่แหม่ม พี่สาวสาวปกาเกอะญอที่จะโชว์ฝีมือมื้อเย็นของพวกเราทั้งสามคนในวันนี้ ก็มาบุกถึงครัวของบ้านพี่แหม่มก็ยังเห็นกลิ่นไอแบบดั้งเดิมที่ผสมผสานกับยุคสมัยใหม่ เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ และการทำอาหารก็ยังเป็นแบบวีถีชีวิตปกาเกอะญอ

"ปลาขาว" นำมาย่างบนไฟ พี่แหม่มบอกว่าจะทำเมนู "แกงเย็น"

ไม่นานพี่แหม่มและเพื่อนบ้านที่มาช่วยกันปรุงอาหาร ก็ยกขันโตกพร้อมกับข้าวแล้วทุกคนก็มานั่งล้อมวงกัน

"ผักกาดดอง" บนดอย

"น้ำพริกปลากระป๋อง พริกคั่วหอมๆ"

"แกงเย็น" เมนูที่ชาวปกาเกอะญอนิยมทำกินกันมาเนินนาน

" ข้าวเบ๊อะ "

พระเอกของมื้อนี้ " ข้าวเบ๊อะ " คือข้าวต้มน้ำกระดูกหมู มีข้าว ผักต่าง ๆ และเนื้อสัตว์ มาต้มจนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นิยมทำตอนที่มีพิธีกรรมในชุมชนหรือในครอบครัว กับทำเมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้าน


วันที่สองเช้าที่ตื่นกับอากาศหนาวเย็น มีนัดตีห้าครึ่งกับพี่ที่จะพาไปเที่ยวในวันนี้

- ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว กม.42 ดอยอินทนนท์
- เดินเส้นทางธรรมชาติ "กิ่วแม่ปาน"
- จุดสูงสุดแดนสยาม
- พระธาตุเจดีย์
- น้ำตกผาดอกเสี้ยว (น้ำตกรักจัง)
- ชมพระอาทิตย์ตกที่ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์"

เช้านี้นัดกับพี่พัฒน์(ชาวบ้านแม่กลางหลวง) อาสาจะเป็นไกด์พาเราเที่ยวกันทั้งวันเลย เริ่มกันออกจากหมู่บ้านแต่เช้าตรู่ประมาณตี 05.30 เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว กม.42 (ลานจอดรถกิ่วแม่ปาน) มาถึงวันนี้ฟ้าปิดไม่แน่ใจหมอกหรือควันมากฟุ้งมากทำให้ไม่ค่อยเห็นอะไรเลยนอกจากแสงทองยามเช้า ก็เลยเดินไปหาของร้อนๆกินกันที่ร้านค้า อุญหภูมิบนถือส่าหนาวมาก ขนาดหน้าร้อนยัง 8 องศา มาพร้อมกับสายลม

ตอนแรกก็นึกว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์แรกดวงโตๆในเช้านี้แล้ว ก็เลยกำลังจะเตรียมตัวไปลงชื่อเดิน"กิ่วแม่ปาน" แต่ก็มีเสียงเรียกว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วหันกลับไปดูเร็วๆ (เสียงจากชายคนหนึ่ง)

โพล่มาแล้วพระอาทิตย์ดวงโตๆ บนยอดดอยอินทนนท์กับอากาศหนาวๆ (07 มีนาคม 2562)

น้ำตกลานเสด็จ

เส้นทางเดินที่เหนื่อยแต่สวยคุ้มค่า "กิ่วแม่ปาน" ด้วยธรรมชาติที่ยังคงสมบรูณ์ ครั้งที่สองของเราแต่เป็นฤดูที่แตกต่างกับครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 3.2 กิโลเมตร แบ่งผ่านป่าดิบชื้น เฟิร์นยุคโบราณ ป่าเฆม ป่าต้นน้ำกำเนิดสายธาร(น้ำตกลานเสด็จ) ทุ่งหญ้าเมืองหนาว ต้นกุหลาบพันปี

ช่วงแรกผ่านเข้าไปในป่าดิบเขาซึ่งมีบรรยากาศร่มครึ้ม มีแสงแดดส่องลงมาเพียงรำไรตามพื้นป่าเต็มไปด้วยเฟิร์นหลากหลายชนิด มีมอสสีเขียวขึ้นคลุมตามโคนต้นไม้และบริเวณริมห้วยที่ชุมชื้น

ทางเดินขึ้นๆ ลงๆ เป็นเส้นทางที่เดินกว่าจะถึงจุดชมวิว ก็เหนื่อยพอสมควรแต่ก็มีจุดให้พักระหว่างทาง ท่ามกลางอุณหภูมิ 8-9 องศา ในช่วงเช้า (07 มีนาคม 2562)

เดินผ่านป่าเฆม ป่าดิบชื้น แล้วก็จะออกมาเจอกับชันเขาที่โล่งๆ เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีทองหรือที่เขาเรียกบริเวณนี้ว่า "ทุ่งหญ้าเมืองหนาว" ออกมาถึงจุดนี้ลมพัดแรงมากทำให้หนาวยิ่งกว่าเดิมไปอีก

ถึงจุดที่ชมวิวที่สวยที่สุด ถึงจะไม่มีทะเลหมอกให้เชยชม แต่ก็ยังเห็นภาพภูเขา ยอดเขา กว้างไกลมากจนตาเรามันมองมันได้ไม่หมด ต้องกวาดสายตาไปซ้ายขวา

เดินผ่านสันกิ่วแม่ปานความกว้างแค่ 1 เมตร

มาส่องกุหลาบพันปีกัน แต่มาช่วงนี้ก็เริ่มร่วงโรยไปกันเริ่มหมดแล้ว แต่ก็ยังให้เห็นปลายๆแล้ว

กุหลาบพันปี (Azalea)

ราชินีดอกไม้ดอยอินทนนท์ สำหรับดอกกุหลาบพันปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อายุยืนหลายร้อยปี พบเฉพาะบนเทือกเขาสูงที่มีอากาศหนาวเย็นความชุ่มชื้นสูง ในประเทศไทยพบกุหลาบพันปีบนดอยสูงหลายแห่ง บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์ เป็นพบมากที่สุดและดอกยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จนได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งอินทนนท์ โดยดอกจะเริ่มบานในเดือนม.ค.-กลางเดือน มี.ค.ของทุกปี
( ข้อมูลจาก เวป news.thaipbs )

เส้นทางสวย
⏰ เวลา : เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา6โมงเช้า ใช้ระยะเวลาเดิน 2-3 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่าย : 200บาท/คณะ เป็นค่านำทางให้ไกด์ท้องถิ่น
เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง3.2 กิโลเมตร ควรพกน้ำดื่มเข้าไปด้วย
ข้อแนะนำ : ควรมาเที่ยวในวันธรรมดาหรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่ใช่หยุดยาวเพราะจะเต็มไปด้วยคนและอาจจะรอคิวนาน อุทยานปิดในช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. เพื่อให้ป่าฟื้นตัว

ออกจากจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน มีเพื่อนอีกคนที่ยังไม่เคยมาอินทนนท์เลยต้องพาไปที่จุด "สูงสุดแดนสยาม"

จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีระดับความสูง 2,565.3341 เมตร

สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยอินทนนท์ทอดตัวยาวเข้าไปในป่าเมฆเป็นระยะทาง 150 เมตร มีอากาศหนาวทั้งปี และมีหมอกกับฝนตกชุก "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" ต้องมอบประโยคนี้ให้กับที่นี้เลย

พระสถูปของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันร่มรื่นเขียวครึ้ม

ที่นี้ยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยอินทนนท์ทอดตัวยาวเข้าไปในป่าเมฆเป็นระยะทาง 150 เมตร มีอากาศหนาวทั้งปี และมีหมอกกับฝนตกชุก ระบบนิเวศเฉพาะตัวอย่างไม่มีป่าไหนเหมือน

ช่วงนี้ก็จะเจอ "กุหลาบขาว" หรือ คำขาว


พระมหาธาตุนภเมทนีดล - พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ

แวะมาสักการะ 2 พระมหาธาตุคู่ดอยอินทนนท์ "พระมหาธาตุนภเมทนีดล - พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ" ที่อยู่เคียงคู่กัน ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือ สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2530 และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2535

บริเวณพื้นที่โดยรอบพระมหาธาตุเจดีย์ ได้จัดเป็นสวนพรรณไม้หลากหลายชนิดที่สวยงาม โดยเฉพาะไม้ดอกเมืองหนาวที่สวยงาม รอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม


เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว

พาเพื่อนไปตามรอยหนัง"รักจัง" กับการเดินป่าในระยะประมาณสามกิโลกว่าๆ (เสียงจากเพื่อนเดินป่าอีกแล้วเหรอ นี้ขายังสั่นจากเดินกิ่วแม่ปาน) มาแล้วก็ต้องเอาให้สุดมาสัมผัสด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ

จุดเริ่มเดินบนทางหลวง 1009 ค่าไกด์ปกาเกอะญอ 1 คน 200บาท/กลุ่ม ซึ่งตอนนี้มีกลุ่มชาวบ้านแม่กลางหลวงมาตั้งซุ้มหน้าทางเข้าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว เมื่อก่อนติดต่อทางหมู่บ้านก่อนนะ เพราะต้องใช้ไกด์ท้องถื่นในการเดินด้วย


เริ่มเดินทางกันเลยนะ ทางเดินไปชมความงามของน้ำตกเดินไปได้ไม่ลำบากมากจะเป็นทางชันและลาดบางช่วง ก็เป็นการเดินกลับเข้าหมู่บ้านแม่กลางหลวงแหละกัน เมื่อเดินเข้ามาสักระยะก็เริ่มได้ยินเสียงสายน้ำกระทบโขดหินดังแล้ว ถึงน้ำตกชั้นแรกสวยงามหน้าร้อนอย่างนี้ก็ยังมีน้ำ

อากาศที่แสนบริสุทธิ์ท่ามกลางหุบเขาแห่งแม่กลางหลวง ช่วงนี้อากาศเย็นสบาย สายน้ำขาวขึ้น น้ำลดลงจากช่วงหน้าฝนแต่ก้อยังสวย

ไกด์เดินทางไปเรื่อยๆด้วยความชำนาญในพื้นที่บางทีเดินตามแทบไม่ทัน ช่วงไหนที่ทางลาดชันมากชาวบ้านสร้างบันไดไม้เรียบเนินเขาและราวไม้ไผ่ให้จับ เพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว

เดินไป หยุดพักถ่ายรูปไปตามชั้นต่างๆของน้ำตก

ระหว่างเดินลัดเลาะก็จะเจอตาน้ำหรือน้ำพุดกลางป่า พี่เขาบอกว่านี้มันคือ "น้ำแร่" ธรรมชาติ ใสสะอาดโดยการผ่านการกรองในตัวของธรรมชาติ ลองดื่มกันได้นะ

มาเจอเด็กๆในชุมชนมาเล่นน้ำหาปลาคลายร้อนกัน เป็นภาพที่น่ารักมากเลยวิถีชีวิตกับธรรมชาติ

สะพานตรงนี้คือชั้นที่ 7 เคยเป็นโลเคชั่นหนัง "รักจัง" สะพานไม้ที่คร่อมผ่านพื้นน้ำตก เป็นฉากหนึ่งที่จำติดตาในหนังรักที่ดังมากเมื่อสิบกว่าปีก่อน "รักจัง" สายน้ำจากน้ำตกชั้นบนที่ไหลตกลงมากระทบกับน้ำตกชั้นล่างที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร จนเกิดเป็นสายน้ำสีขาว ฟูฟ่อง

เห็นแล้วมันสดชื่นนนนนนน :) ฟังเสียงลำธาร วิมานแห่งความสุข ต้อง… "น้ำตกรักจัง"

เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว ดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ที่บ้านแม่กลางหลวง ต.บ้านหลวง อ.จองทอง จ.เชียงใหม่

เดินป่า ชมน้ำตก วกมาดูไร่สตอเบอรี่ 🌿🌺

ถ้ามาในช่วงประมาณเดือน ก.ค. - ปลาย ต.ค. จะได้เห็นภาพนาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวงจากจุดนี้ได้สวยมาก แต่มาในช่วงนี้ก็สวยไม่แพ้กันจะได้เห็นอีกบรรยากาศก็คือ "ไร่สตอเบอรี่" ที่ปลูกตามสันเขา

มีสตอเบอรี่เก็บลูกแดงฉ่ำในแก้วไว้พร้อมขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินมาจากน้ำตกกันด้วยนะ

สตอเบอรี่ที่แดงฉ่ำจากต้นกินแล้วมันหวานชื่นใจมากเลย

เดินออกจากไร่สตอเบอรี่ก็จะเริ่มเป็นทางเข้าหมู่บ้านแม่กลางหลวง ที่เต็มไปต้นไม้ใหญ่และต้นกาแฟที่อยู่สลับกับร่มไม้ใหญ่ซึ่งเป็นกาแฟอราบิก้าที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย

เดินเข้ามาสู่หมู่บ้านทางออกจากน้ำตกก็จะผ่านที่พักของพวกเรา ก็เลยบอกกับพี่เขาว่าขอพักก่อนสักหนึ่งชั่วโมงนะ เพราะตั้งแต่เช้าแล้วกลับมาถึงที่พักก็ 15.30 วันนี้แน่นไปกับทริปเดินป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มกับความสวยของธรรมชาติที่นี้

ชมพระอาทิตย์ตกที่ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์"

กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้พี่เขาเสนอจุดชมพระอาทิตย์ตก สถานที่นอกสายตา คนไม่ค่อยรู้ หรืออาจรู้แต่ก็น้อย หรือรู้แต่ไม่กล้าเข้าไป นั่นก็คือ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม" พวกเราโชคดีมากเลยที่รู้จักกับคนในพื้นที่อาสาจะพาไปเที่ยว


วันนี้จะมีพี่แหม่มและเพื่อนบ้านไปด้วยกัน เหมือนญาติพาเราไปเที่ยวปิกนิคกันเลย ทุกคนมาพร้อมก็กระโดดขึ้นรถกระบะ เริ่มเดินทางจากบ้านแม่กลางหลวงระยะทางประมาณ 10 กม. ใช้เส้นทางสู่ดอยอินทนนท์ขับตรงไปเรื่อย ๆ จนผ่านสามแยกดอยผาตั้งสักระยะ ตลาดชุมชนชาวไทยม้งไปอีกประมาณ 3 กม. ก็ให้สังเกตุซ้ายมือเพื่อดูป้ายบอกทาง "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม" ซึ่งจะเป็นป้ายหลบๆท่ามกลางต้นไม้นิดนึง

เจอปากทางแล้วเลี้ยวเข้าป่าบนทางลูกรังขับไปเรื่อยสักระยะจะเจอแยกตรงไปจะเข้าสู่สำนักงานและที่พักในพื้นที่ “หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม” แต่จุดชมวิวที่เราจะไปต้องเลี้ยวซ้ายขึ้นไปซึ่งเจ้าหน้าที่เขาจะเรียกว่า"แปลงปลูกป่า" เส้นทางก็จะไม่เรียบง่ายเลย เส้นทางก็จะป่ารกหน่อยๆ เต็มไปด้วยกอต้นดอกหญ้าสูงๆ สลับกับต้นสน

ขับผ่านโค้งอ้อมเนินเชิงเขาจนมาถึงพื้นที่โล่งๆ จุดปักหลักของพวกเราในวันนี้

ในที่สุดก็มาถึงแล้วจุด Unseen อีกที่ของดอยอินทนนท์ ที่พี่ๆคนในพื้นที่แนะนำและพามาให้เห็น

วิวสวยมากจริงๆ เห็นดอยเขาที่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา แต่วันนี้เสียดายหน่อยตรงพื้นราบมีหมอกควันเลยทำให้เห็นไม่ชัดเจน แต่ก็ยังมีความสวยอยู่มากเลย

ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำลงไปเลี้ยงชาวแม่แจ่มและบริเวณแถบนี้

ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกก็เดินถ่ายรูปกัน

ที่ยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ที่สามารถชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทางอำเภอแม่แจ่ม

นั่งลุ้นกันมากเลยว่ามาครั้งนี้จะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตๆลับขอบฟ้าที่นี้ไหม

โชคเข้าข้างพวกเราแล้วหมอกควันเริ่มจางๆ ก็เริ่มได้เห็นดวงอาทิตย์ชัดขึ้นหน่อยถึงไม่มากแต่ก็คุ้มค่ามาก

แสงสุดท้าย หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์

ขอบคุณพี่แหม่มพี่พัฒน์ พี่ๆที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงที่ได้พามาเจอสถานที่ที่สวยงามและประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวดอยอินทนนท์ มาแล้วก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปพักหมู่บ้านแม่กลางหลวงที่เต็มไปด้วยมิตรภาพดีๆ
- Inthanon Kirimaya Mae klang luang ที่พักในหมู่บ้านแม่กลางหลวง
ติดต่อพี่สมศักดิ์ โทร 081 960 8856 , 08 1760 5181
ระยะเวลาต่างกันไป • ราคาที่พักเริ่มต้น 1000-4000 ต.ค.- ม.ค.

วันที่สามของทริป จุดหมายของวันนี้ "ขุนแปะกระท่อมตะวันไรวินท์" และ "ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย"

ออกจากหมู่บ้านแม่กลางหลวงประมาณ 10.30 ก็ขับรถลงมาที่ตัวอำเภอจอมทองตั้งหลักกันก่อน หากาแฟหาข้าวกินกันก่อนออกเดินทางไปยังอีกหมู่บ้าน เริ่มจากตัวอำเภอจอมทองใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 108 สายจอมทอง-ฮอด ถึง กม.82-83 บริเวณสามแยกไปบ้านแปะและวัดตอง ให้เลี้ยวขวาสู่ถนนหมายเลข ชม.3033 ตรงไปผ่านบ้านแปะ - บ้านทุ่งพัฒนา - บ้านบนนา - บ้านขุนแปะ ประมาณ 22 กิโลเมตร รวมระยะทางจากจอมทอง ถึงศูนย์ฯ 44.9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบสองชั่วโมง

ถนนหมายเลข ชม.3033 สายนี้ค่อยข้างแคบและโค้งแบบหักศอกกันเลยนะ ผ่านหน้าผาสีแดงจุดนี้ที่นักท่องเที่ยวหยุดรถแล้วเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อจะชมวิวความสวยงามของถนนสายนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องขับรถอย่างระมัดระวัง

ขับรถมาตลอดทางก็จะเห็นภูเขายอดดอยที่มีความสูงแตกต่างลดหลั่น บางช่วงก็จะเจอแปลงเกษตรตามลาดชันเชิงดอย จนเริ่มเห็นบ้านเรือนยิ่งขึ้นก็เริ่มอุ่นใจแล้วว่ามาถูกทาง ซึ่งช่วงนี้มีการปรับปรุงถนนเริ่มดีขึ้นแล้วขับรถง่ายขึ้นแต่ต้องระวังรถหกล้อที่ขนหิน ทราย ในการก่อสร้างถนน

มาถึงแล้วที่ "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ" ซึ่งพี่อาทิตย์ได้นัดเจอกันที่นี้ ให้เอารถมาจอดไว้ที่โครงการ เข้าไปยังที่พักโดยรถของพี่อาทิตย์จะดีกว่ารถเก๋งของพวกเรา

"ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ"

พอได้เห็นถนนเข้ามายังกระท่อมก็รู้แล้วว่าทำไมรถเก๋งเข้ามาไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ

กระท่อมของพี่อาทิตย์ ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ไร่ที่ไว้ทำการเกษตรตามฤดูกาล จึงอยู่ไกลจากชุมชนพอสมควร เพราะบริเวณโดยรอบกระท่อมก็มีภูเขาแปลงเกษตร ไม่มีบ้านเรือนเลยทำให้ที่นี้เงียบ และไม่มีไฟ้าด้วยนะมีแต่หลอดไฟ LED ให้แสงสว่างในตอนค่ำคืนแทน

เมื่อจอดรถเสร็จก็เอากระเป๋าลงเพื่อจะเข้าไปยังกระท่อม พี่อาทิตย์ใจดี อารมณ์มากเลย คุยเก่งหัวเราะตลอดเลย ช่วยพวกเราขนกระเป๋าพร้อมกับคำถามว่า
พี่อาทิตย์: น้องๆจะพักได้ไหม?
เดอะแก๊ง: พักได้ค่ะ แบบนี้แหละที่พวกเราต้องการ

“ขุนแปะกระท่อมตะวันไรวินท์” กระท่อมที่พักเล็กๆ กลางดอยภูเขาเหมาะมาช่วงฤดูนาข้าวที่รายล้อมด้วยทุ่งนาข้าวขั้นบันได แต่พวกเราว่าฤดูไหนๆก็มีความงามในตัวของธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้มีกระท่อมเพียงแค่ 3 หลัง มีห้องน้ำทุกหลัง ไฟฟ้าไม่มี สัญญาณโทรศัพท์มีแค่บางค่าย

ช่วงนี้มีแปลงดอกไม้คอสมอสและดอกคาโมมายรายล้อมกระท่อม เติมแต่งสีสันให้ที่นี่ได้อย่างดีมากเลย

กระท่อมหลังน้อยๆกลางทุ่งนาบนดอยสำหรับเราสามคนคืนนี้ ลมพัดเย็นสบายมากนอนเล่นรอเวลาที่พี่อาทิตย์จะมารับไปชมทุ่งดอกไฮเดรนเยียในช่วง 16.00 แสงแดดจะได้ไม่แรงมาก

นอนเล่น เดินเล่นวนบนคันนาทำเหมือนซ้อมเดินแบบบนเวทีเลยนะ ฮ่าๆๆ

เข้ามาดูที่หลับที่นอนกัน พี่อาทิตย์กับแฟนก็ได้เตรียมที่นอน หมอน มุ้งไว้ให้อย่างเรียบร้อย *** แต่ต้องเตรียมผ้าขนหนูอาบน้ำมาเองนะ **

ห้องน้ำก็สะอาด กว้างพอสมควร มีอ่างล้างหน้า ฟักบัวไว้สำหรับอาบน้ำ

เมื่อแสงเริ่มออ่อนลงพี่เขาก็มารับไปยังแปลงการเกษตร ซึ่งอยู่ในโครงการหลวง

ขับไปในโครงการอีกนิดหนึ่งก็ถึงแล้วๆ ก็จะเจอแปลงปลูก คอสสลัด เบบี้คอส ไทม์ โรสแมรี่ ลาเวนเดอร์

ลาเวนเดอร์

เดินลัดข้ามแปลงเข้ามาอีกก็จะเจอ "ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย" ซึ่งพี่อาทิตย์แนะนำมาที่สวนนี้ดีกว่า สายพันธุ์ต้นสูง ดอกช่อใหญ่ มีสีเข้มๆ กว่าสวนของชาวบ้านที่ต้องขับไปอีกประมาณ 7 กิโล ซึ่งพวกเราก็เลือกที่นี้จะได้ไม่ต้องนั่งรถไปไกล เจอที่นี้ก็สวยมากแล้วโดนใจสุดๆเลย

คือเอาจริงๆ บรรยากาศมันดีมากกกกนะ ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย ณ โครงการหลวงบ้านขุนแปะ เป็นสถานแปลงที่ปลูกทดลองดอกไฮเดรนเยีย เดินเข้ามาไม่มีชาวบ้านอยู่ที่แปลงแล้วก็เปิดตะข่ายที่กั้นปิดเป็นประตูออก ภาพแรกที่เห็นคือสวยมากๆ ภาพในฝันเลยที่สักครั้งอยากไปสัมผัสทุ่งดอกไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้โปรดของเราเอง ด้านหลังแปลงก็จะเห็นเป็นิวเขาสูงสลับซับซ้อนทอดยาวตัดกับสีท้องฟ้า

เห็นแบบนี้แล้วไม่ต้องไปถึงเวียดนามแล้วเรา มาเชียงใหม่ก็วาปมาเที่ยวที่บ้านขุนแปะแทน

ช่อดอกใหญ่จริงๆ และสีเข้มสวยมากเลย พลัดเปลี่ยนกันถ่ายรูปกันสนุกมากเลย

ลั่นลากันจนเพลินก็ต้องออกจากสวนดอกไม้ แปลงทดลองในโครงการตรงนี้จะมีถึงเดือนพฤษภาคม

• ค่าเข้าโครงการคนละ 30 บาาท
• สวนใหม่นี้คนละที่กับสวนใหญ่ของชาวบ้านที่ไกลจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวง
แต่การมาเที่ยวชม ก็ต้องอาศัยข้อมูลนิดนึงนะ เพราะบางทีดอกไม่บาน หรือบานแล้วแต่เขาตัดไปแล้วก็ได้จ๊ะ • สวนดอกไฮเดรนเยียแปลงใหญ่ของชาวบ้านมีให้ชมถึงเดือนมีนาคมค่ะ มีให้ชมอีกครั้งช่วงกลางเดือนตุลาคมของทุกปีค่ะ

หรือก่อนเดินทางลองติดต่อสอบถามทางโครงการนะ
0954506335 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ
0931491269 พี่อาทิตย์ เจ้าของที่พัก ขุนแปะกระท่อมตะวันไรวินท์

เข้ามาต่อกันที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน พี่อาทิตย์ถามว่าจะเอาอะไรเพิ่มเติมก่อนกลับกระท่อม แฟนพี่เตรียมแค่มื้ออาหารเย็นไว้ให้ที่กระท่อมมีที่ปิ้งย่างนะ พวกเราก็เลยจัดเนื้อหมูกลับไปย่างกันกินกับผัก

บรรยากาศหมู่บ้านที่เรียบง่าย "บ้านขุนแปะ" เป็นหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอและม้ง

กระท่อมหลังนี้เป็นโซนของห้องครัวทำแยกห่างออกจากกระท่อมที่พัก เป็นห้องครัวเล็กๆที่แฟนพี่อาทิตย์จะเตรียมอาหารมื้อเย็นให้แก่นักท่องเที่ยว ห้องเก็บอุปกรณ์ต่างๆ

ดอกคาโมมายตากแห้งเพื่อจะนำไปชงชา

มาแล้วมื้อเย็นจากฝีมือแฟนพี่อาทิตย์ ยกมาแบบขันโตกมีเมนูน่าทานยังนั้น ผักสดๆทำมาหวานกรอบมากเลย
- ต้มจืดกะหล่ำปลีใส่หมูสับ
- กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา
- น้ำพริกอ่อง + แคปหมู
- ไข่เจียว

หมูย่างเมนูเสริมของพวกเราที่เอามากินแบบห่อกับผักสดๆที่พี่อาทิตย์จัดไว้ให้

ค่ำคืนที่เงียบกลางดอย มีแสงไฟจากหลอด LED และแสงดาว พร้อมกับเสียงธรรมชาติขับกล่อมจากจักจั่นจิ้งหรีด เรไร กลางทุ่ง อากาศก็หนาวเย็นด้วย เมื่อกินอิ่มก็นั่งเม้ากันจนทนลมหนาวไม่ไหว เข้ากระท่อมคดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มกัน เมื่อตอนที่พี่อาทิตย์ไปรับบอกว่าเอาขาตั้งกล้องติดมาด้วยนะที่นี้ถ่ายดาวสวยนะ ช่วงนี้ยังมีทางช้างเผือก ก็เอาติดมือไปแต่จริงแล้วยังไม่เคยถ่ายดาวหรือจะตั้งค่ากล้องถ่ายดาวด้วยซ้ำ คืนนั้นนอนเปิดดูเวลาช่วงที่ทางช้างเผือกจะมามีบอกว่าประมาณตี 4.30 น. ก่อนนอนก็เปิดอ่านการตั้งค่ากล้องรุ่นของเราไว้คราวๆ

เมื่อถึงเวลานาฬิกาปลุกก็รีบลุกเปิดประตูออกมายืนที่คันนาหน้ากระท่อม แล้วเงยมองขึ้นไปฟ้าถึงกับร้อง โอ้โห้ !!! มายกอด ดาวที่นี้สวยมากเลยกอไก่ล้านตัวเลยอ่ะ แล้วก็ยืนหมุนๆพยายามมองหา "ทางช้างเผือก" เดินหมุนไปรอบก็เจอขึ้นมาจังหวะครอบหลังคากระท่อมพอดี สวยมากกกกกก ครั้งแรกที่ได้เห็นกับตาและของจริงด้วยก่อนหน้าเห็นจากรูปภาพว่าสวยแล้วนะ เจอกับตาตัวเองสวยกว่าในรูป

ครั้งแรกกับการหยิบกล้องตัวเองที่ซื้อมาสองปีในการถ่ายดาว "ทางช้างเผือก"

เพื่อนอีกสองคนก็ยังนอนคดในผ้าห่มไม่ออกมา จนเราเรียกว่าออกมาดูเร็วๆ เห้ย...ดาวมันสวยมากเลยนะ (เสียงตะโกนเรียกเพื่อนๆ) พอทุกคนได้ออกมาร้องเป็นเสียงเดียวกันเลย สวยจริงๆว่ะ

ภาพที่ถ่ายออกมาอาจจะไม่สวยเหมือนตากล้องมืออาชีพ แต่ก็ดีใจมากที่ได้เห็นดาวและกดชัตเตอร์เอง

นั่งดูดาวไปเรื่อยๆ จนแสงแรกยามเช้ากำลังส่องแสงสีทองขึ้นมา

วันที่สี่กับอากาศแค่ 22 องศา ณ ขุนแปะกระท่อมตะวัน ไรวินท์ วันนี้จะขับรถไปเรื่อยที่พักยังไม่ได้จองไว้

"น้องๆตื่นกันยังครับ รับข้าวต้มเลยไหมครับ" เสียงเรียกจากพี่อาทิตย์ จริงๆพวกเรานอนกลิ้งไปมาในกระท่อมคดตัวในผ้าห่มแสนอุ่น

มาแล้วมื้อเช้าของที่นี่ "ข้าวต้มหมูร้อนๆ" กับ "ไข่ต้ม" กาแฟ โอวัลติน ทรีอินวัน ยกมาถึงชานกระท่อมเลย

กาต้มน้ำร้อนมาพร้อมกับแก้วชาในแก้วก็มีดอกคาโมมายแห้ง ใบทาม ที่นำมาชงเป็นชาดื่มยามเช้า

ถึงเวลาบอกลากับอีกสถานที่ที่สวยและความทรงจำดีๆ ก่อนกลับขอถ่ายรูปกับทุ่งดอกคอสมอสสวยๆของพี่อาทิตย์ ที่ชูช่อแข่งความสดใสสีสันกัน

" ที่พักไม่ได้มีความหรูหรา หรือความสะดวกสบาย แบบที่หลายๆ ที่มีแต่ที่นี่ มีความเป็นมิตรจากเจ้าของที่พัก ที่พร้อมให้บริการด้วยใจ มีอาหารธรรมดาๆ เลิศรสกว่าร้านอาหารไหนๆ มีอากาศที่บริสุทธิ์ ให้สูดฟอกจิตใจ"

ฤดูนาข้าวกำลังมาถึงแนะนำให้มาพักที่พี่อาทิตย์เลย เจ้าของใจดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ดูแลดี และราคาก็ไม่แพงด้วยนะ ราคาก็ 500 บาทต่อคน ราคานี้รวมค่าอาหารเช้าและเย็นที่จัดมาแบบเต็มที่
- ขุนแปะกระท่อมตะวันไรวินท์ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ พี่อาทิตย์ 093-1491269

ระหว่างออกจากหมู่บ้านขุนแปะเพื่อนลงความเห็นว่าไปที่"ไร่ชาลุงเดช" กัน

จากหมู่บ้านขุนแปะ อ.จอมทอง ก็มุ่งหน้าไปที่ เมืองก๋าย อ.แม่แตง ขับรถไปเรื่อย

ก่อนจะเข้ามาที่ไร่ชา ก็โทรสอบถามห้องพักมีว่างไหม ว่างแล้วเราก็มุ่งตรงที่ไร่ของลุงเดชไปถึงประมาณ 17.00 น. เป็นเวลาที่ห้องครัวของร้านปิดแล้ว ก็ต้องซื้อของกินเข้ามาเอง

มาถึงตอนเย็นที่นี่อากาศก็ดีเหมือนกันนะ เย็นสบายมากเลยท่ามกลางไร่ชา และนักท่องเที่ยวก็กลับไปหมดแล้ววันนี้ก็มีผู้เข้าพักแค่กลุ่มพวกเรา นั่งทอดอารมณ์ไปตามสายลมเสียงนก มองไปให้สุดลูกหูลูกตา

ห้องพักจะอยู่ชั้นล่างอาคารซึ่งเป็นร้านของไร่ชา ห้องรวมก็อยู่ไม่ไกลจากตัวอาคารมาก จะเดินผ่านซุ้มแปลงของ"ต้นไหน"

ครั้งแรกที่เห็น "ลูกไหน" แบบที่อยู่ที่ต้น และดอกสีขาวสวยลักษณะคล้ายๆดอกซากุระเลย

แสงยามแสงทอสีทองในช่วงตะวันจะลับหายไป บรรยากาศดีมากเลยแสงอันอบอุ่นลอดผ่านแปลงต้นไหน

เมื่อความมืดเข้ามาเยือนหลังจากตะวันตกดิน ที่นี่ช่างเงียบเหลือเกินเป็นการพักผ่อนหนีความวุ่นวายจากชีวิตเมืองได้ดีมากเลย พวกเราก็เข้ามาอยู่กันในห้องเพราะข้างนอกอากาศหนาวมาก เป็นคืนสุดท้ายของทริปเที่ยวนี้นอนคุยกันจนหลับเลย "ฝันดี"

วันที่ห้าของทริปเชียงใหม่หน้าร้อนแล้ว เป็นวันที่จะต้องบินกลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว

เช้าวันนี้ตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ แค่เปิดประตูห้องออกมาก็เจอภูเขา ต้นไม้หมอกจาง และไร่ชา

พวกเรารีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่ร้านลุงเดชจะเปิดตอน 08.00 น. เพราะลูกค้าลุงจะเริ่มมากันแล้ว

อากาศในช่วงเดือนมีนาคมนะช่วงเช้ายังไม่ถึง 20 องศา

ลุงเดชก็ออกมาเตรียมร้าน เพื่อรอรับลูกค้าที่มาเยือนไร่ชา มาชิมชาของลุง

ยามเช้าบรรยากาศอบอุ่น อบอวลไปด้วยหมอกจางๆ น้ำค้าง จิบชาร้อนๆท่ามกลางอากาศหนาวๆ มองดูไร่ชาและทิวเขา เหมือนอยู่บนโลกคนละใบกับในเมืองเลยนะ

กาแฟสดที่ร้านของลุงเดชก็มีนะ


นั่งจิบชากันแล้วเห็นลูกค้าชุดแรกของเช้ากลับออกไป ก็ถึงเวลาของพวกเราที่ลงมาแชะภาพกันที่แปลงชา

ยอดชาและดอกชาที่ไร่ชาลุงเดช

ใบชาที่เก็บจากไร่ก็นำมาตากให้แห้ง

เช้าๆดอกไหนก็แข่งกันชูช่ออวดความสวยกันเชียวนะ

"ใบชาทอดกรอบ"

มาถึงไร่ชาลุงเดชก็ต้องกินเมนูอาหารของที่นี้ กับข้าวอร่อยมากกกก

"ยำใบชา"

เมนูกับข้าวอร่อยๆทั้งนั้น


สรุปแล้ว "ไร่ชาลุงเดช" บรรยากาศดี ลุงเดชเป็นกันเอง อาหารอร่อย 🤩

ที่นี้พักแนวโฮมสเตย์ ที่พักห้องน้ำรวม คนละ 200 บาท ไม่รวมอาหารเช้า
📍 : ไร่ชาลุงเดช
🚗 : ตำบล เมืองก๋าย อำเภอ แม่แตง เชียงใหม่
📞 : 081 163 3765

การออกไปมองโลกด้วยตาของตัวเอง.. มันดีจริงๆนะ :)

"และเชื่อว่าการออกเดินทาง มันอาจต้องมีเสียตังค์ สอยเวลาเราไปบ้าง แต่สิ่งที่พบเจอระหว่างทาง มันทำให้เราได้จดจำ สัมผัสกลิ่นไอของธรรมชาติ สูบลมหายใจให้เต็มปอด"

จบแล้วสำหรับทริปเชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน ได้ไปสัมผัสอากาศหนาวในหน้าร้อนบนยอดดอย


ตามมาเที่ยว กิน แบบชิลๆกัน กับพวกเรา How About chill out

https://www.facebook.com/Howaboutchillout/

How About Chillout

 วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.52 น.

ความคิดเห็น