สวัสดีค่ะ พบกับบันทึกการเดินทาง อ่านกันยาวๆ 1 ตอนจบ ทำแยกกระทู้ไปเฉพาะเรื่องกินอย่างเดียวอีกกระทู้หนึ่ง โพสไว้นานละ เพิ่งได้เริ่มเปิดกระทู้เดินทาง

กระทู้เดิมที่มีแต่เรื่องกิน >>> https://th.readme.me/p/41494

"น่าน" จังหวัดที่คิดจะไปไว้เมื่อนานมาแล้ว ก็หลายปีมาแล้วหละที่อยากจะไป กะว่าจะไป ไหนก็ยังไม่ได้ไป กึ่งปุปปัปทัวร์ เพราะยังพอมีเวลาเตรียมตัว เดินทางกัน 5 คน ด้วยความที่ทำงานประจำกันเกือบหมดไม่อยากลาเยอะ ตั้งใจแรก คือลาวันเดียว ออกเดินทางหลังเลิกงานขับรถตอนกลางคืน

เอาวะ เอาเหอะ ใคร ๆ ก็ขับกัน

ใช่ค่ะ ใคร ๆ ก็ขับได้ ยกเว้นพวกเรา แผนเปลี่ยนเป็นออกเดินทางครึ่งบ่าย

แผนใหม่ คือ 

บ่ายศุกร์ – ออกเดินทาง

มืดศุกร์ – นอนแพร่

เช้าเสาร์ – เที่ยวแพร่แล้วไปน่าน

บ่ายเสาร์ – นอนน่าน  

เช้าอาทิตย์ – เที่ยวสะปัน

บ่ายอาทิตย์ – นอนสะปัน

เช้าจันทร์ – เดินทางกลับ (ถึง กทม.เย็น ๆ ได้มีเวลาพักผ่อน) 

แผน ก็คือแผนแหละ วางไว้งั้น ๆ 

บ่ายวันศุกร์ ออกเดินทางจากแถวดอนเมือง จขกท. แวะปั๊มบ้างประปราย ขับสบาย ๆ ผ่านป้าย ถ่ายป้าย ท้องฟ้าขมุกขมัว มีฝนลงบ้างนิดหน่อยพอให้ถนนลื่น ทดสอบยางรถ

หนึ่งทุ่มยังอยู่พิษณุโลก เลยแวะเข้าตัวเมืองหามื้อเย็นกินก่อนไม่งั้นจะยาวแล้วจะไม่ได้กินอะไรเลย ปรึกษากูเกิ้ลได้ร้านข้าวต้ม แล้วพิษณุโลก คือ ร้านข้าวต้มเยอะมาก ขึ้นทุกแยก ตัดสินใจเอาร้านนี้ ติดถนนใหญ่ ติดแยกไฟแดง อร่อยมั๊ย ไปดูกัน

“ร้านเล็กข้าวต้ม” ติดถนนใหญ่เลย ฝั่งตรงข้ามก็ร้านข้าวต้ม จังหวัดดูเงียบ ๆ หรือไม่ใช่เส้นหลัก

ผ่านเรื่องความเงียบไป มาเข้าเรื่องอาหารการกิน อ้วนไม่กลัว กลัวอด

เมนูแนะนำ **ยำกุนเชียง**

- ยำกุนเชียง

- ผักผักบุ้ง

- ผัดคะน้าปลาเค็ม

- ไข่เจียว

- ยำปลาสลิด

- ผัดกุ๊ยช่ายขาวหมูกรอบ

จบมื้อ 504 บาท

เดินทางต่อคราวนี้ยาวไปแพร่เลย เส้นทางมืดบ้าง ขึ้นเขาลงเขาบ้างเป็นระยะ สายตาเริ่มไม่ดีก็จะขับตอนกลางคืนยากหน่อย

คืนแรกค้างโรงแรมในตัวเมืองแพร่ก่อน จองเที่ยวด้วยกันไว้กับ “โรงแรมเฮือนนานา” โรงแรมค่อนข้างใหญ่ มีที่จอดรถด้านในดูสะดวกและปลอดภัย

ไปถึงน่าจะเป็นแขกกลุ่มสุดท้ายของวัน ได้ห้องพักชั้น 1 ชั้นล่างสุด แต่อยากได้ห้องชั้นบนมากกว่า เปลี่ยนไม่ได้เพราะโรงแรมบอกห้องพักเต็ม !!!

ไปดูห้องพักกัน ห้องโซนชั้น 1 อยู่ติดส่วนของเคาน์เตอร์เชคอินเลย มีทางเดินกับส่วนพักผ่อนคั่นนิดหน่อย   

จองห้องพักแบบไม่รวมอาหารเช้าไว้ เพราะตั้งใจไปกินมื้อเช้าในตลาดตัวเมือง จองไว้ 2 ห้อง

ราคาห้องละ 890 บาท เตียงเสริม 600 บาท รวม 2,380 บาท

ใช้สิทธิ์เที่ยวด้วยกัน จ่าย 1,428 บาท

ห้องพักเลย์เอ้าท์ทั่ว ๆ ไป จากประตู ขวาเป็นตู้เสื้อผ้า ซ้ายเป็นห้องน้ำ เลือกแบบเตียงคู่ 2 เตียง แล้วเสริมเตียงตรงกลางอีก 1 หลังห้องมีระเบียงเล็ก ๆ ยื่นออกไป แต่วิวไม่ค่อยดี เป็นส่วนของหลังโรงแรม โซนห้องพักคนงาน กับโซนครัว เปิดม่านแล้วแอบหลอนเบาๆ เลยไม่ถ่ายมาแล้วกัน

ห้องน้ำแยกส่วนเปียกกับแห้งชัด น้ำไหลแรงดีแอบปรับร้อนเย็นยากนิดหน่อย ครีมอาบน้ำและแชมพูกลิ่นดอกบัว เข้ากับบรรยากาศและการตกแต่งของห้องที่เน้นไทย ๆ ชอบประตูห้องน้ำแบบบานเปิด 2 บาน

อาหารเช้าไปแวะทานในตลาดตัวเมืองแพร่ เป็นเพราะวันหยุดหรือปกติบรรยากาศเป็นแบบนี้ จขกท.ไม่แน่ใจ แต่เป็นเมืองที่เงียบ สงบ รถ และคนเบาบาง แวะทานมื้อเช้ากันที่ร้าน “เจ๊ศรีโจ๊กประตูชัย” ตัวร้านขนาด 1 คูหา ตอนแรกกะนั่งโต๊ะข้างนอกดูบรรยากาศรอบข้าง แต่โต๊ะเต็มเลยต้องมานั่งด้านใน ชื่อร้านโจ๊ก แต่ไม่มีใครสั่งโจ๊กซักคน

ที่สั่งมามีต้มเลือดหมู ข้าวต้ม และเกาเหลาปลา ถ้าให้แนะนำนะสำหรับคนทานเครื่องในได้ก็ต้มเลือดหมูแหละ เครื่องในไม่เหม็น สะอาดสะอ้าน ปรุงรสเพิ่มความเผ็ดกับเปรี้ยวอีกนิดให้ตัดกับความเค็มของน้ำซุป ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

ทั้ง 3 เมนูที่สั่งมา มาในชามใหญ่มาก ไม่ใหญ่แต่ชาม ปริมาณก็เยอะด้วย

ทั้งโต๊ะ 230 บาท

จบจากมื้อเช้า แวะไหว้พระซัก 1 วัดก่อนยิงยาวไปน่าน ขับวน ๆ ในตัวเมือง 1 รอบ ผ่านป้ายวัด แต่ไม่แวะ

เลือกวัดดังก่อนเลย กับวัดพระธาตุช่อแฮ วัดประจำคนเกิดปีขาล ช่วงที่ไปเป็นช่วงทางวัดกำลังบูรณะองค์พระธาตุ ใช้แผ่นทองปิดรอบองค์พระธาตุใหม่ทั้งหมด

ออกจากวัดแวะเติมกาแฟเข้าร่างกับร้านอเมซอน หน้าทางเข้าวัด ร้านนี้ก็น่าจะเป็นร้านกาแฟแบรนด์ธรรมดา ถ้าไม่มีเหตุการณ์จ่ายกาแฟไปพร้อมกับกระเป๋าตังค์ ใช่ค่ะ...เพื่อนร่วมทริป ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ อย่างไม่รู้ตัว ได้กาแฟแล้ว ยาวๆ ไปน่านกัน

ระหว่างทางไปน่านมีทำทางอยู่บ้าง ยาวอยู่ค่ะ ใครมาช่วงนี้น่าจะยังทำไม่เสร็จ ขับรถระมัดระวังกันนิดนึง

แวะไหว้พระทำบุญกันก่อน เริ่มต้นที่วัดพระธาตุเขาน้อย

ต่อด้วยวัดภูมินทร์

แล้วเดินต่ออีกหน่อยตอนแดดร้อน ๆ ไปเก็บภาพที่ซุ้มลีลาวดีที่ไม่มีดอก

ถ่ายรูปจนหมดพลัง ขับรถยาว ๆ เลยทีนี่

แวะเติมพลังระหว่างทางกับร้าน “Nan Native” ที่เลือกแวะร้านนี้ก็เหตุผลง่ายๆ ค่ะ ตามมาจากการดูรายการแข่งขันทำอาหารในทีวี แล้วแชมป์เค้าเป็นคนน่านมาเปิดร้านที่นี่ จขกท.ก็เลยตามมาชิม

รีวิวอาหารนะคะ เมนูมีความแปลกใหม่ mix กันระหว่างอาหารฝรั่งกับอาหารพื้นเมืองทางเหนือ เน้นเอาน้ำพริกอ่องมากินคู่กับอาหารฝรั่ง อย่างที่สั่งมาก็มีสปาเกตตี้น้ำพริกอ่อง กับพิซซ่าหน้าน้ำพริกอ่อง ถามว่า อร่อยมั๊ย รสชาติเข้ากันได้ดีแต่ถ้าจะให้เข้มข้นแบบรสชาติอาหารไทยเลยก็ไม่ใช่นะ มีความเบาบางลงมา ใครผ่านมาแถวกิ่วม่วง อยากรู้อยากลอง แวะได้ค่ะ ถนนเส้นนี้มีร้านเยอะ ตั้งติดๆ กันเลย

จบจากการเพิ่มพลังแล้วก็เดินทางเข้าที่พักกันค่ะ จองที่พักไว้ที่ “ไร่ต้นรัก” ถนนทางเข้าเป็นดินทางแคบๆ ยิ่งช่วงใกล้ถึงตัวไร่นี่หนักเลย เป็นดินผสมหินก้อนโต ๆ หน่อย เรียกว่าวิ่งขโยกเขยกกันไป วันที่มาที่ไร่นี้เค้าเกี่ยวข้าวหมดนาไปแล้ว เลยได้วิวพื้นนาโล่งๆ สีน้ำตาลดูแล้งๆ หน่อย

ที่พักเป็นแบบบ้านหลังๆ แต่ละหลังใหญ่มากนะ ขนาดหลังแบบ 2 คน ก็ยังใหญ่แล้วไม่ได้ติดกันแบบเปิดหน้าต่างเซย์ไฮบ้านข้างๆ ได้เลย มีพื้นที่ส่วนตัวกันได้ดีทีเดียว จองไว้กับบ้านพักชื่อ “บ้านฮอมฮัก” ขนาดพัก 5-6 คน หลังใหญ่ ขนาดชั้นครึ่ง

ชั้นล่าง ทำยกพื้นไว้ 2 ที่สำหรับวางที่นอนขนาด 5 ฟุต นอนได้ฝั่งละ 2 คน แล้วยังเหลือพื้นที่ภายในบ้านสำหรับส่วนของโซฟาดูทีวี ทางเดินตรงกลางที่ไม่ได้คับแคบ ในบ้านค่อนข้างโล่งมาก ๆ ค่ะ ด้วยความที่มีหน้าต่างเป็นกระจกอยู่รอบ ๆ

ระเบียงหลังห้องจัดพื้นที่ให้นั่งเล่นได้อีก

บันไดขึ้นชั้นลอยเป็นบันไดวนขนาดเล็ก ขึ้นและลงได้คนเดียว ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปจะเจอกับที่นอนอีก 1 ที่ นอนได้นะ แต่พวกเราไม่นอน ลงมากองกันชั้นล่างหมด ด้วยวัยแหละ จะให้ปีนขึ้นลงบันไดแคบ ๆ นั่นก็กลัวจะตกก่อนจะกลับ

ส่วนของห้องน้ำ แยกออกจากฝั่งที่นอนอย่างชัดเจน แบ่งสัดส่วนดีเลย มีพื้นที่วางของหน้าห้องน้ำค่อนข้างมาก อุปกรณ์ต่าง ๆ ครบถ้วน

ห้องน้ำไม่ได้กว้างมากแต่ดูไม่อึดอัดด้วยกระเบื้องสีขาวที่ใช้ กับช่องแสงที่มีพอสมควร

ขนม และเครื่องดื่มในตู้เย็น ทานได้หมดเลย

พาไปดูบริเวณรอบ ๆ กันค่ะ พื้นที่ในไร่กว้าง แล้วบ้านแต่ละหลังก็ตั้งห่างๆ กัน แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเดินไกลจากจุดจอดรถ เพราะเค้าทำที่จอดด้านบนนี้ไว้ด้วย ภายในไร่ค่อนข้างสงบ นอกจากเสียงพวกเรากันเองแล้วก็เสียงแมลงนี่แหละค่ะ ที่ดังสุด ไม่วังเวงนะ ส่วนตัวชอบเลย ตัดเรื่องทางเข้าสะบักสะบอมนั่นไปก่อน

มื้อเย็นเราใช้บริการห้องอาหารที่นี่ค่ะ มีห้องอาหารเดียวเป็นทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ที่นั่งเป็นแบบ open ทั้งหมด ให้นั่งชมวิวท้องทุ่ง กับแสงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า ช่วงเย็นยุงจะเยอะนิดนึง แต่มียาจุดกันยุงไว้บริการค่ะ

เมนูมีไม่มากมายนัก แล้วก็เหมือนเดิม ไม่กลัวอ้วน แต่กลัวอดมากกว่า สั่งมาเต็มโต๊ะ

**เมนูแนะนำ** หมูกรอบจิ่มแจ่ว ไก่ทอด ยำหมูยอ และสปาเกตตี้พริกแห้งไส้อั่ว

กลางคืนเงียบดี มีเข้าพัก 3 หลังถ้วน เท่าที่รู้นะ เหมาะกับการพักผ่อนจริง ๆ นั่นหละ

ช่วงเช้าอากาศเย็น ๆ มีหมอกลงนิดหน่อย ออกมาดม ๆ ดูแล้ว โอเคหมอก ไม่ใช่ควัน แวะไปกินอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารเดิม นั่งโต๊ะเดิม อาหารเช้าเป็นแบบ a lar carte คิดว่าก็คงมีพอสมควรแบบมาตรฐานทั่วไป ว่าแล้ว พนักงานก็ค่อย ๆ ทยอยมาเสิร์ฟ

มาเรื่อย ๆ มาไม่หยุด เดี๋ยวก๊อนนนน

ปริมาณคือแน่นมาก มาทุกรูปแบบ เอาไงดี ให้มาเยอะก็เลยต้องกินเยอะ กินไปเรื่อย ๆ พอจบเรื่องกินเก็บของ เชคเอ้าท์ แล้วเดินทางต่อ

จุดหมายต่อไป :: สะปัน

ออกจากซอยมาได้แปปเดียว คิดว่าจบเรื่องกินแล้วใช่มั๊ย อ่า...ไม่ใช่ เพราะเรากลับรถไปฝั่งตรงข้าม ขับเข้าซอยไปอีกหน่อย ไปโผล่ที่ร้านขนมชื่อดัง กับ ร้าน “cocao valley”

ตามชื่อร้าน ซิกเนเจอร์ต้องเมนูอะไร ๆ ที่ทำมาจากช็อคโกแลตนั่นแหละ สั่งมาพอประมาณ กินยันเมล็ดช็อคโกแลตดิบ ซึ่ง....แนะนำว่าควรกินแบบที่สุก และปรุงรสเรียบร้อยแล้วดีกว่า

ใช้เที่ยวด้วยกัน หมดไป 581 บาท

แวะไหว้พระอีกหน่อย กับพระธาตุเบ็งสกัด

ใกล้ ๆ กัน มีกำแพงเมืองแบบโบราณ ไม่ถ่ายจะถือว่ามาไม่ถึง จัดไป 1 กรุบ

เดินทางกันต่อ โค้งคดไปตามถนน

จุดชมวิว เค้าแวะ เราแวะ

แวะซื้อเกลือก่อนเข้าที่พัก เพราะที่พักเรามีอ่าง

ขับรถระมัดระวังนิดนึงเพราะบางครั้งเจ้าถิ่นก็มาสิงอยู่ริมทาง

ถ้าสนใจมาพักที่บ่อเกลือ ไม่ได้จองล่วงหน้านี่เดานะว่ายังไงก็มีที่ให้พักแหละ จากป้ายแนะนำบ้านพักตรงนี้แล้ว สบาย

ยัง...เรื่องกินของพวกเรายังไม่จบ ก่อนเข้าที่พักแวะกินกลางวันก่อนที่ร้าน

"ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ"

ตามมาจากที่เค้ารีวิวกัน ทางเข้าลึกลับพอประมาณ แต่ไม่หลง มีเลยทางเข้านิดนึง เป็นซอยเล็กๆ แยกออกจากถนนใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ เล็กลงนิดหน่อย แนะนำให้ไปก่อนเที่ยง ประมาณ 11 โมงนิดๆ กำลังดี คือ กำลังหาที่จอดรถง่าย เดินไม่ไกล

ที่นี่เน้นปรุงอาหารแบบธรรมชาติๆ ไม่พยายามปรุงรสด้วยวัตถุดิบสังเคราะห์ต่างๆ รสชาตต้องบอกว่าอาจจะอ่อนไปซักหน่อยสำหรับคนทานรสจัดจ้าน

บรรยากาศดี ลมเย็น

ไปต่อกันได้ ที่พักของเราเป็นที่พักสุดท้าย สุดปลายถนนที่แคบลงเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ แล้วจะมีรถตู้ขับสวนมาพอให้ต้องหลบกันวุ่นวาย ไหล่ทางก็แสนจะน้อยนิด ล้อรถจะกินเข้าไปในร้านกาแฟอยู่ละ

ถึงแล้ว ที่พักสุดถนนของเรา กับ “สะปันดาว”

ลานจอดรถที่เห็น คือ จอดจริงประมาณ 7 คัน จอดไม่จริงได้เยอะกว่านั้น แต่ก็ต้องมาขยับกันวุ่นวายพอสมควร

เค้าว่าอีกนั่นแหละให้จอง บ้านดาวอังคาร ว่าวิวดีสุด เอ้า จองก็จอง ปกติบ้านนี้เข้าพัก 2 คน แล้วเสริมได้มากสุดอีก 2 รวมเป็น 4 ทริปเรามา 5 ไปต่อรองขอนอน 5 ทางที่พักว่านอนก็นอนได้ แต่จะคับแคบ หูยยยย อยากจะบอกว่า แคบไม่กลัว กลัวต้องจองอีกหลังแล้วเปลืองตังค์อีกเยอะ

ในบ้านพักพอหลังเสริมเตียงก็แทบจะแทรกตัวเดิน

วิวดี สมคำร่ำลือ มองมุมกว้างไม่ติดหลังคาของบ้านพักอื่น ๆ ทำให้เห็นวิวได้ไกล

อ่างจากุดจี่ ลองเปิดน้ำวนดูละ เสียงเครื่องทำงานดังไกลถึงปากถนน แนะนำรอน้ำเต็มพ้นรูระบายน้ำล้นค่อยเปิดเครื่องนะ ไม่งั้นเปิดเล่นตอนดึก ๆ เงียบ ๆ นี่คือ ตื่นทุกหลัง

พาไปดูห้องน้ำ กว้างขวาง น้ำแรง น้ำร้อนดี แอบมีกลิ่นท่อลอยขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ปิดประตูห้องน้ำไว้ก็โอเค

ด้วยความที่มาไกล เข้าแล้วไม่อยากออกไปไหนแล้วหละ เลยสั่งมื้อเย็นมาทานที่ระเบียงหลังห้อง

เมนูหมูกระทะยืนหนึ่ง แล้วสั่งอย่างอื่นมาประกอบ กิน 5 คน ก็ไม่มาก แค่ไม่มีที่วางให้ว่างอย่างอื่นได้อีกเลย

พออิ่มแล้วก็ได้เวลาของการพักผ่อน เกลือที่ซื้อมาเมื่อกี้ก็เอามาแช่เท้าซะ จัดไปหลายถุง

ไปถ่ายรูปตอนกลางคืนมานิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเบลอ

เช้า ๆ ตื่นมาดูหมอกอีก 1 รอบ พื้นระเบียงชื้นไปหมด โปรดใช้ความระมัดระวัง ล้มไป วัยนี้ไม่มีอะไหล่แท้สำรอง

มื้อเช้าของที่นี่จัดเป็นบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารที่เดียวกับตอนเชคอินรับกุญแจห้อง อาหารมีให้เลือกไม่มาก ข้าวผัด ไข่ดาว ใส้กรอก แฮม หลัก ๆ มีเท่านี้ ตักเติมได้เรื่อย ๆ รสชาติกลาง ๆ

อำลาสะปันแบบสั้น รวบรัด กระฉับ ฉับไว

ขากลับไม่ได้กลับเส้นเดิม แต่มาทางถนนหมายเลข 3 เดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง

ปิดจบทริปน่านด้วยการวนรถกลับเข้าตัวเมืองหาข้าวกิน กับร้านคู่บ้านคู่เมือง “เฮือนฮอม”

แนะนำ แนะนำ และแนะนำ ย้ำไป 3 ครั้งรวดเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นร้านต้องกินนะ แต่ถ้าชอบอาหารจานเดียวแล้วไปต่อ แวะร้านเยื้อง ๆ กัน ฝั่งตรงข้ามได้เลยกับ “ข้าวซอยต้นน้ำ” ข้าวซอยนี่ จขกท.ไม่ได้กิน แต่บอกเฉย ๆ ว่าถ้าไม่อยากกินนาน ก็แวะไป ส่วนรสชาติไม่รู้ แต่ที่รู้คือ เฮือนฮอมอร่อยเกือบทุกอย่างที่สั่งมา

สั่งติดโต๊ะเอามาก่อนก็ ออเดิร์ฟเฮือนฮอม น้ำพริกทั้งหนุ่มและอ่องจะเผ็ดกว่าเจ้าอื่น ๆ หน่อย กินไปพักไป ก็พอไหว

คั่วโฮ๊ะ ทำมาใหม่ๆ ร้อน ๆ รสชาติถึงเครื่องแกง ผักใหม่ไม่สลบไสล ส่วนตัวชอบแบบนี้มากกว่าที่ผัดไว้นาน ๆ แล้วมองไม่ออกว่าต้นฉบับเคยเป็นผักอะไรมาก่อน อันนี้ไม่รู้ว่าจริง ๆ เมนูนี้ควรเป็นแบบไหนนะคะ แต่ชอบแบบใหม่สดรสชาติดี

ขนมจีนน้ำเงี้ยว กับข้าวซอย สั่งมาลองให้รู้ รสชาติกลาง ๆ

ส้มตำ อันนี้ไม่สั่งก็ได้

ยำผักบุ้งกรอบ ผัดผักกูด ไม่ได้กิน

ทั้งโต๊ะ 965 บาท

จบของคาวสมควรแก่เวลากลับ แต่...ไม่กลับค่ะ เราไปต่อกันที่ของหวาน กับร้าน “ขนมหวานป้านิ่ม”

กูเกิลแนะนำมาว่าต้องไปนะ ถึงแม้ทางไปจะดูลึกลับซับซ้อนแบบไม่น่าเชื่อว่าสุดถนนซอยนี้จะมีร้านขายของกิน

ภายในร้านมีป้ายเยอะมาก ทั้งป้ายเมนูขนม และวิธีการสั่ง แนะนำให้ยืนห่าง ๆ แล้วทำความเข้าใจกับป้ายก่อนค่อยเข้าไปสั่ง เพราะ...ป้านิ่ม ดุมาก ย้ำ ดุมาก ป้าดุตั้งแต่เด็กในร้านยันลูกค้า

จขกท. สั่งมาลอง 2-3 เมนู เป็น ข้าวฟ่างกะทิ สลิ่มทัมทิมกรอบ ไอติมบัวลอย และลอดช่องน้ำกะทิ เด่นสุด คือ ป้าทำกะทิได้อร่อย ไม่แป้ง ไม่เหนียว ไม่ยืด หวานเค็มกำลังดี ทำให้พอราดไปกับขนมอื่น ๆ รสชาติเลยพอดีกัน ถ้าให้แนะนำ อยากให้ลองเมนู ข้าวฟ่าง แปลกดี ไม่เคยกินมาก่อน  

ปิดจบจริง ๆ จขกท. กลับมาแต่ตัว ลืมกระเป๋าสะพายไว้กับป้านิ่มตอนเข้าห้องน้ำที่ร้าน มารู้ตัวตอนที่ขับมาถึงแพร่แล้ว ก็ร้อยกว่าโลแล้วอ่ะ เลยต้องวุ่นวายให้ป้านิ่ม และลูกสาวป้าช่วยจัดการส่งกระเป๋ามาทางไปรษณีย์ นี่เลยสัญญาไว้ (ในใจ พูดไปเดี๋ยวป้าด่า) ว่าถ้าได้ไปน่านอีกจะแวะไปอุดหนุนอีกรอบ

สรุป .... ถึงกทม.เกือบเที่ยงคืน จากแผนเดิมว่า ถึงเย็น ๆ แหล่ะ

ไปกินไปเที่ยว - หญิงเฮเทกระจาด

 วันพฤหัสที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 19.33 น.

ความคิดเห็น