เป็นเพราะบางกอกแอร์เวย์ปล่อยโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินราคาเขย่าหัวใจออกมา

หนูเล็กและพี่ใหญ่ซึ่งปกติเป็นติ่งของสายการบินราคาประหยัดจึงมีอาการหวั่นไหว

ขอหันมาสอยตั๋วของสายการบิน Boutique Airline กับเขาดูบ้าง

ไหนๆ ก็ไหนๆ ค่ะ ขอเลือกเส้นทางที่สายการบิน Low cost เจ้าที่ใช้บริการประจำไม่มีโอกาสได้บินไปก็แล้วกัน

ซึ่งนี่จึงเป็นที่มาของทริปเดินทางต้อนรับฤดูฝนทริปนี้ของเราสองคนค่ะ


"สุโขทัย" มาจากคำสองคำคือ "สุข+อุทัย" มีความหมายว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข "

ไฟล์ทที่เราบินไปสุโขทัยจึงเป็นเที่ยวบินแบบอรุณรุ่งเลยค่ะ

ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกันตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลยทีเดียว

อย่างนี้แล้วจะรออะไร ไป Lougne ของบางกอกแอร์เวย์สิคะ ข้าวต้มมัดรออยู่

ทานอาหารเช้ากันแบบเบาๆ ค่ะ เพราะเมื่อขึ้นเครื่องไปสักครู่ก็ต้องไปทานอาหารเช้าบนเครื่องกันอีก


เวลาแห่งความสุขกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เครื่องบินที่เรานั่งเป็นเครื่องบินแบบใบพัด ทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้วค่ะ

เห็นทางจักรยานลิบๆ

วิวงามๆ หลังจากไต่ระดับขึ้นมาได้สักครู่หนึ่ง

เมื่อเครื่องได้ระดับ พนักงานต้อนรับก็บริการอาหารเช้า วันนี้เป็นโจ๊กกุ้งค่ะ หน้าตาน่าทาน รสชาติอร่อยค่ะ


ท้องฟ้าช่วงฤดูฝน เมฆหมอกค่อนข้างเยอะ คนรักปุยเมฆได้ภาพสวยๆ กลับมาเต็มเลย


อาจเป็นเพราะเป็นเครื่องบินแบบใบพัด ทำให้เพดานบินไม่สูงนัก ได้ชมวิวงามๆ ไปตลอดทาง

เพียงชั่วโมงเดียวเครื่องบินก็ทำการลดระดับ

ที่เห็นนั่นคือ ทุ่งทะเลหลวง ดูเหมือนรูปหัวใจ แต่จริงๆ เป็นรูปใบโพธิ์ค่ะ ไว้อยู่ที่สุโขทัยหนูเล็กจะพาไปเที่ยว

และเราก็ถึงสนามบินสุโขทัยในที่สุด เนื่องจากเป็นสนามบินของเอกชน

เมื่อมาถึงทางสนามบินจะจัดรถรางมารับผู้โดยสารไปยังอาคารสนามบิน

บรรยากาศดูน่ารัก อบอุ่น เป็นกันเอง

อาคารสนามบินก็เล็กๆ เรียบง่าย เน้นโครงสร้างและสถาปัตยกรรม

ให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทย

สำหรับเราสองคนก็ไปติดต่อรับรถเช่าที่โทรสำรองเอาไว้ รอบนี้ได้เป็นโตโยต้า วีออส ค่ะ

อยากได้เล็กกว่านี้แต่ไม่มี

จริงๆ แล้วภายในสนามบินสุโขทัยมีสถานที่ให้เที่ยวนะคะ แต่เพราะเราไปเช้าเกิน แต่ละแห่งยังไม่เปิดเลย และที่สำคัญวันที่เรามาถึงสวนสัตว์ที่ตั้งอยู่ภายในสนามบินปิดปรับปรุงวันนี้วันแรกค่ะ อดเที่ยวสวนสัตว์อีกต่างหาก อย่างกระนั้นเลย ไปเที่ยวที่อื่นเลยดีกว่า สนามบินสุโขทัยอยู่ที่อำเภอสวรรคโลกค่ะ ห่างจากตัวเมือง เราก็เลยยังไม่ไปที่พัก ไปเที่ยวกันเลยดีกว่า

The Rising of Happiness ของเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว ไปด้วยกันเลยค่ะ.....

จุดหมายแรกของพี่ใหญ่และหนูเล็กคือที่นี่ค่ะ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ที่ตำบลศรีสัชนาลัย บริเวณที่เรียกว่า “แก่งหลวง"

ห่างจากตัวอำเภอศรีสัชนาลัยลงมาทางอำเภอสวรรคโลก 11 กิโลเมตร เดิมชื่อว่า “เมืองเชลียง" แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีสัชนาลัย" ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุทั้งหมด 215 แห่ง สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่ง

อุทยานฯ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. การเที่ยวในอุทยานฯ วิธีที่ดีที่สุดต้องวิธีนี้ค่ะ

ค่าเช่าเพียง 20 บาท ตลอดทั้งวัน ขี่ไปได้เลยค่ะ นอกจากได้เที่ยวแล้วยังได้ออกกำลังกายด้วย

พี่ใหญ่ขี่นำโลดดดดด

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จะมีวัดหลักๆ ที่อยู่ในอุทยานฯ ทั้งสิ้น 9 วัด คือ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดชมชื่น วัดเขาพนมเพลิง วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ วัดนางพญา

วัดเขาสุวรรณคีรี วัดสวนแก้วอุทยานน้อย และวัดช้างล้อม

มีทั้งภายในเขตกำแพงเมืองและนอกเขตกำแพงเมือง

หนูเล็กแนะนำว่าเราไปบางวัดก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเก็บหมดทุกวัด จะได้มีเวลาละเมียดละไมบ้าง

เราไปเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขค่ะ ไม่ได้ไปแรลลี่เก็บ RC ไม่ต้องรีบขนานน้านนนน

วัดช้างล้อม เป็นสถานที่แรกที่เราแวะค่ะ

เข้าไปข้างในกันค่ะ


เจดีย์ประธานเป็นทรงลังกาตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ

เจดีย์ประธานทรงลังกาขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันหลายชั้น

มีทางเดินเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นบน

โดยรอบเจดีย์มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 9 เชือก

(ยกเว้นด้านหนึ่งซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นมีเพียง 8 เชือก)


และที่มุมมีช้างขนาดใหญ่ประดับอีก 4 เชือก รวมเป็น 39 เชือก

จึงเป็นที่มาของคำว่าช้างล้อม (ข้อมูลจากวีกิพีเดีย)

จากวัดช้างล้อมเราไปต่อกันที่ วัดเจดีย์เจ็ดแถว ค่ะ

ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดช้างล้อม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ วัดนี้ มีเอกลักษณ์ตรงที่มีเจดีย์แบบต่างๆ กันมากมาย


แบ่งรูปแบบของเจดีย์ออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ เจดีย์ทรงลังกา เจดีย์ทรงปราสาท เจดีย์ทรงดอกบัวตูมซึ่งเป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้


เยอะค่ะ เก็บภาพยังไงๆ ก็ไม่หมด

จากนั้น พี่ใหญ่กับหนูเล็กก็ปั่นๆๆ ไปกันต่อค่ะ

บรรยากาศภายในร่มรื่นมาก ยิ่งมาในวันแดดร่มลมตก ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ ปั่นแบบชิลๆ เลยค่ะ ไม่ร้อน เห็นสีเขียวยิ่งสดชื่นนนน

มาถึงที่นี่ค่ะ วัดเขาพนมเพลิง

เราต้องทิ้งจักรยานไว้เบื้องล่างและไต่บันไดศิลาแลงนี้ขึ้นไปร้อยกว่าขั้นค่ะ

เพราะวัดนี้อยู่บนเขาความสูงราว 25 เมตร

เจดีย์ประธานทรงลังกา ก่อด้วยศิลาแลงตั้งแต่ก้านฉัตรขึ้นไปพังทลายหมด

วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่ยังมีความสมบูรณ์อยู่พอสมควร

ส่วนด้านหลังเจดีย์ประธานมีเจดีย์ราย 3 องค์

พอหายเหนื่อยก็ไต่บันไดลงค่ะ ไปอีกวัดหนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน

วัดนางพญา


เข้าไปชมด้านในกันค่ะ


วัดนางพญา มีเจดีย์ทรงลังกาเป็นประธาน ก่อด้วยศิลาแลงสูงใหญ่ และมีสภาพสมบูรณ์รอบฐานเจดีย์ มีบันไดขึ้นไปด้านบนได้


เป็นวัดที่มีบริเวณกว้างขวางมาก

จากวัดนางพญา พี่ใหญ่กับหนูเล็กพากันปั่นออกนอกเขตกำแพงเมืองเพื่อไปยังวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่ง

นั่นคือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดพระปรางค์ หรือวัดเชลียง

ปั่นออกไปจากเขตกำแพงเมืองไกลเหมือนกันค่ะ

วัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญมาแต่โบราณกาล

สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 โดยวัดนี้เป็นวัดสำคัญในเขตเมืองเชลียงมาแต่เดิม

ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 และในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เสด็จไปปราบชุมชนพระฝางเมืองสวางคบุรี แล้วได้เสด็จสมโภชพระบรมธาตุเมืองเชลียงนี้ด้วย

และวัดนี้ยังเป็นที่สรงน้ำมูรธาภิเษก สำหรับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ที่จะขึ้นเสวยราชสมบัติมาแต่ครั้งโบราณกาล

โบราณสถานที่สำคัญภายในวัด ได้แก่ ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน

ลักษณะรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมจัดอยู่ในสมัยอยุธยา

จากวัด เราสองคนเดินเล่นไปฝั่งตรงข้าม มีสะพานแขวนข้ามลำน้ำยมเล็กๆ เพื่อไปยังหมู่บ้านของชาวบ้านค่ะ


บรรยากาศไม่ร้อนแบบนี้ หนูเล็กถือโอกาสไล่จับผี...กลางวันแสกๆ เลยด้วย


เที่ยวเล่นสนุกจนพอใจแล้ว ได้เวลาที่กองทัพต้องเดินด้วยท้องแล้วค่ะ


พี่ใหญ่กับหนูเล็กปั่นจักรยานไปคืนที่บริเวณสำนักงานอุทยานฯ ที่หยิบยืมมา

ได้เวลาออกหาอาหารการกินกันล้าววว

จากการทำการบ้านมาพอสังเขปของหนูเล็ก เราออกเดินทางกลับไปยัง อ.สวรรคโลก กันเลยค่ะ

ตั้ง GPS ไว้ที่สถานีรถไฟสวรรคโลก แค่นั้น จบ พิกัดเราง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

ถึงแร้นนนน ไปยังร้านเป้าหมายค่ะ ห่างจากสถานีรถไฟไม่เกิน 50 เมตร

ไม่ต้องรีรอมากความมากเรื่อง เข้าไปแล้วสั่งเลย รอดูค่ะ จะได้อะไรมา


เย็นตาโฟต้มยำสูตร L.A. อันนี้เป็นแห้งนะคะ บังเอิญหนูเล็กนิยมแบบแห้ง

และนี่ บะหมี่น้ำ ที่อร่อยคือ เส้นบะหมี่ นุ่มนิ่มดีจริง

จัดไปคนละสองชาม อิ่มแปล้ เรียกพลังจากการไปปั่นกลับมาเรียบร้อย

ก่อนจะเข้าที่พักที่จองไว้แล้วในตัวเมือง ต้องมีลีลากันนิดนึงค่ะ

แวะไปสถานที่ที่คาใจตั้งแต่เครื่องบินลงกันก่อน

จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ต้องที่นี่ค่ะ "ทุ่งทะเลหลวง"

การเดินทาง เลือกทางไปตากค่ะ จะมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวเข้าไปสำนักชลประทานและทุ่งทะเลหลวง

แค่ทางเข้าก็น่าสนใจแล้วค่ะ

เมื่อวิ่งเข้าไปสุดทาง จะเป็นเช่นนี้ค่ะ

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเยือนเมืองสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 2535

ทรงมีพระราชดำริว่า

“แม่น้ำยมในฤดูฝนมีน้ำมาก ในฤดูแล้งเกือบไม่มีน้ำ ให้พิจารณากั้นน้ำเป็นช่วงๆ เพื่อผันน้ำเข้าคลอง

ธรรมชาติที่มีอยู่เดิม

ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำยมและขุดลอกให้สามารถส่งน้ำไปกักเก็บไว้ตามหนองบึงตามธรรมชาติได้"

จากพระราชดำริสำคัญนี้

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ได้น้อมรับกระแสพระราชดำริมาศึกษาวิเคราะห์ สภาพแม่น้ำยมตั้งแต่จังหวัแพร่

จึงได้เริ่มทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดสุโขทัยหลายโครงการ

และหนึ่งในโครงการสำคัญก็คือโครงการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำทะเลหลวง(แก้มลิง) ขึ้นในปี 2545

ที่นี่คือ "แผ่นดินรูปหัวใจ" เกิดจากแนวคิดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ต้องการให้แผ่นดินนี้

เป็นศูนย์รวมแห่งความรักใคร่ปรองดองของชาวเมืองสุโขทัยและเชื่อมโยงความรักผูกพันกับบรรพบุรุษ

สมัยสุโขทัยถึงปัจจุบันจึงเลือกสัญลักษณ์แห่งความรักคือ“รูปหัวใจ"

ส่วนคำว่าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ นั้น ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ ได้ดำเนินการจัดทำบุญพิธี

เก็บและกลั่นดินจากทุกครอบครัว ในแต่ละหมู่บ้านจำนวน 843 หมู่บ้าน ทำให้เป็นดินบริสุทธิ์

ด้วยการตั้งปณิธานร่วมแรงร่วมใจร่วมศรัทธากับชาวสุโขทัยว่า

เราจะร่วมสร้างแผ่นดินนี้ให้รุ่งเรืองเป็นมิ่งขวัญของชาวสุโขทัย

จากนั้นนำดินไปวางรองรับพระพุทธรัตนสิริสุโขทัย

ณ มณฑปเกาะกลางแผ่นดินรูปหัวใจทุ่งทะเลหลวง

ลงมาไหว้พระกันค่ะ

ยังไม่ทันจะอะไรเลยค่ะ ฝนลงเม็ดเสียแล้ว

คราวนี้เข้าที่พักได้แล้วค่ะ ไปไหนต่อยังไม่ได้แล้ว

รอบนี้ เราเลือกใช้บริการ เอนกาย บูทีค โฮเทล (An-Guy Boutique Hotel) ซึ่งจองผ่าน booking.com ค่ะ

เมื่อถึงที่พักแล้วก็เลยเอกเขนกกันเสียหน่อยค่ะ รอให้เย็นๆ หน่อยค่อยออกไปร่อนกันต่อ

ราวๆ สี่โมงครึ่งนับเป็นฤกษ์ดี ไม่มีอะไรจะทำแล้ว ไปเที่ยวเล่นเย็นใจกันค่ะ จะเป็นที่ไหนไม่ได้

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกันเลยค่ะ

จุดแรกที่ไปก็ต้องที่นี่เลย "วัดมหาธาตุ" ค่ะ

ตั้งอยู่ที่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยไปทางทิศตะวันตกราวๆ 12 กม.

จากที่พักไม่ไกลเท่าไรค่ะ วิ่งตรงอย่างเดียวเลย

ว่ากันว่าสมัยก่อนที่แห่งนี้คือศูนย์กลางการปกครองของราชอาณาจักรไทยในยุคราว พุทธศตวรรษที่ 18-19

ซึ่งผังเมืองจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ปัจจุบันยังคงมีกำแพงเมืองให้เห็นโดยรอบบริเวณ

ซึ่งในบริเวณเล็กๆ ราวๆ 3-4 ตารางกิโลเมตรนี้กลับมีวัดมากถึง 26 แห่ง

ยังไม่รวมวัดที่รายล้อมอยู่รอบบริเวณกำแพงเมืองอีก รวมๆ แล้วก็มีเกือบ 40 วัด

อะไรจะมากมายขนาดนั้นไม่รู้

ที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่สามารถเที่ยวได้โดยการใช้จักรยานหรือจะรถยนต์ก็ได้

โดยค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 20 บาทต่อวัน

หากนำรถเข้าไปก็ต้องเสียค่าเข้าของรถอีก 50 บาท

แต่เท่าที่หนูเล็กพิจารณาดูแล้วการขี่จักรยานเที่ยวไม่ปลอดภัยเท่าที่ศรีสัชนาลัยค่ะ

นั่นเพราะทั้งจักรยานทั้งรถใช้ร่วมกันได้ เราขี่จักรยานไปแบบต้องระมัดระวังพอสมควร
เห็นจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่าที่นิยมใช้จักรยานกัน เพราะส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวแบกเป้

ดังนั้น สำหรับการเที่ยวที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

พี่ใหญ่กับหนูเล็กจึงขอใช้รถยนต์ที่เช่ามาแล้วดีกว่า ใช้ให้คุ้มเสียหน่อย

เนื่องจากจำนวนวัดที่เยอะมาก เราจึงเลือกที่จะไปแค่บางแห่งที่สนใจ บางแห่งอาจแค่ถ่ายภาพจากมุมไกลๆ

ไม่ได้แวะทุกจุดค่ะ ไม่ไหว แต่ที่วัดมหาธาตุนี่ไม่มาไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่มาก็เรียกว่าไม่ถึงสุโขทัย

วัดมหาธาตุ เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่มากที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

นักโบราณคดีเชื่อกันว่า วัดมหาธาตุสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13

และได้บูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 14

สิ่งปลูกสร้างภายในวัดประกอบไปด้วย พระวิหารหลวง พระอุโบสถ วิหารอีก 10 หลัง

และมีเจดีย์รายรูปแบบต่างๆ มากถึง 200 องค์

ด้วยสิ่งปลูกสร้างที่มากมายนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้ว่า

เป็นศูนย์กลางทางศาสนาภายในกรุงสุโขทัย

ต่อมาได้มีการฟื้นฟูภาพปูนแกะสลักบนอนุสรณ์สถานต่างๆ ขึ้นมาใหม่

วัดมหาธาตุสร้างจากหินศิลาแลง และรายล้อมไปด้วยกำแพงอิฐและคูน้ำ

เจดีย์ประธานเป็นทรงดอกบัวตูมตามศิลปะของสุโขทัย

โดยเชื่อกันว่าภายในเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุอยู่

มีพระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์ขนาบอยู่สองข้างของเจดีย์ประธาน

ส่วนเจดีย์รายขนาดเล็กกว่า 8 องค์ที่รายล้อมอยู่นั้น

องค์ที่อยู่ตรงมุมทั้งสี่เป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลของศิลปะเขมร

ส่วนสี่เจดีย์อีกด้านเป็นเจดีย์แบบล้านนา ภายในซุ้มเจดีย์ขนาดเล็กเหล่านี้

ประดิษฐานพระพุทธรูป 28 องค์และภาพปูนปั้นรูปพุทธประวัติ

งานศิลปกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศิลปกรรมของสิงหลและพม่า


ฐานไพทีพระมหาธาตุเจดีย์ ประดับด้วยปูนปั้นพระสาวกในท่าอัญชุลี และประทักษิณโดยรอบ

พระวิหารหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าพระมหาธาตุเจดีย์ เป็นพระวิหารโถงใหญ่ เสาก่อด้วยศิลาแลง

ท้ายพระวิหารปรากฏฐานชุกชี ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่

ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงโปรดฯให้หล่อขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1905

ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำริดดังกล่าว

ไปประดิษฐานยังวัดสุทัศน์ที่กรุงเทพฯ

ตามรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1

และตั้งพระนามว่าพระศากยมุนีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ถัดออกไปเป็นวิหารขนาดย่อมอีกหลังหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างสมัยอยุธยา

ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสูง 8 เมตร

บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยเจดีย์ขนาดย่อมๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นที่เก็บอัฐิ

บริเวณฐานพระมหาธาตุเจดีย์ประดับด้วยปูนปั้นรูปมารแบกของ ช้าง สิงห์ รูปเทวดา และช้างสามเศียร

บริเวณวัดมหาธาตุค่อนข้างกว้างขวางค่ะ เหมาะแก่การเดินชมไปเรื่อยๆ

การได้มาเห็นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อครั้งกระโน้น วัดแห่งนี้คงมีความงดงามและยิ่งใหญ่เรืองรองมากจริงๆ

ยิ่งเมื่อแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องมาตกกระทบ ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามราวมีมนต์สะกด

ความรุ่งเรืองเมื่อครั้งกาลก่อนพลันแล่นกลับเข้ามาในความคิด

คงจะจริงกับคำที่ว่า "สุข-อุทัย" ไม่เช่นนั้นจะงดงามยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้หรือ

จากวัดมหาธาตุ หนูเล็กขับรถต่อไปยังวัดอีกแห่งหนึ่งไม่ไกลกันนัก

วัดศรีสวาย

ตั้งอยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของวัดมหาธาตุประมาณ 350 เมตร

จุดเด่นคือปรางค์ 3 องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี

ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียว ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ

ลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน

ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป

และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน

แล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้าเป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง

มีคูน้ำล้อมรอบปรางค์สามองค์ ที่มาจากทรงปราสาทแบบขอม แต่ได้รับการดัดแปลงแตกต่างจากต้นแบบ

ปรางค์วัดศรีสวายจึงแตกต่างจากปรางค์สมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีต้นแบบจากปรางค์ในศิลปะขอม

และคล้ายคลึงแบบขอมมากกว่าปรางค์ในแบบของช่างสุโขทัย

มาถึงวัดถัดไปค่ะ

วัดตระพังเงิน

อยู่บริเวณพื้นที่ที่เรียกกว่าตระพังเงินทางด้านทิศตะวันตกของวัดมหาธาตุ

โดยอยู่ห่างออกไปประมาณ 300 เมตรเท่านั้นเอง

มีความโดดเด่นด้วย เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือที่ลักษณะที่เรียกกันว่าดอกบัวตูม

ซึ่งมีความสวยงามเเละเก่าเเก่เป็นอย่างยิ่ง

โดยจะมีพระพุทธรูปยืนเเละพระพุทธรูปปางลีลา ประดิษฐานที่เรือนธาตุทั้งสี่ด้าน

วิหารจะตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของเจดีย์เเห่งนี้

ส่วนทางทิศตะวันออกของเจดีย์จะเป็นเกาะ โดยมีโบสถ์ตั้งอยู่ด้วย

พระพุทธรูปประธานภายในวิหารนั้นเป็น พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย

ที่มีความสวยสดงดงามตามเเบบศิลปะของสุโขทัย

มองออกไปบริเวณหน้าวัดตระพังเงินค่ะ

และเนื่องจากวันที่เรามาเยือนสุโขทัยวันนี้มีงานพอดีเลยค่ะ

เป็นงาน "ตลาดปสาน" จัดในบริเวณอุทยานฯ นี้เองได้โอกาสเที่ยวเลย

สถานที่จัดงานก็บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราชค่ะ

ดังนั้น จะรออะไร ไปกันเลย ได้เวลาแล้ว

แวะกราบพ่อขุนฯ กันก่อนค่ะ

ไปเข้างานกันเลยดีกว่า

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในสมัยสุโขทัยได้มีตลาดเกิดขึ้นแล้ว เรียกว่า “ตลาดปสาน"

เป็นแหล่งซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า

ทั้งของชาวเมืองสุโขทัย และชาวเมืองใกล้เคียง ในศิลาจารึกระบุไว้ว่า

สินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดปสาน มีหลายประเภท

ตั้งแต่ผลไม้ เครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ และสัตว์ที่ใช้เป็นแรงงาน เป็นพาหนะ เช่น วัวและม้า

ตลาดปสานนั้น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองสุโขทัย

ลักษณะของตลาดเป็นลานกว้างๆ เหมาะสำหรับเป็นที่ชุมนุมกันของผู้ซื้อและผู้ขาย

รูปแบบของตลาดเช่นนี้ อาจจะเรียกได้ว่า ตลาดบก เพราะมีทำเลที่ตั้งค้าขายอยู่บนบก

ตัวอย่างตลาดในสมัยสุโขทัย ที่ปรากฏในหลักศิลาจารึก

เช่น ตลาดป่าตองขายใบตอง ตลาดป่าพร้าวขายมะพร้าว

ตลาดป่าตะกั่วขายโลหะตะกั่ว จะเห็นได้ว่า ตลาดมีลักษณะการขายสินค้าเป็นแหล่งๆ ไป

ไปดูกันค่ะ เขาขายอะไรกันบ้าง บรรยากาศเป็นอย่างไร

เจอฝรั่งสามีภรรยาทานหอยทอดค่ะ ไม่สะดวกในการใช้ตะเกียบ สนุกกับการใช้มือจกเลย

และเพราะวันนี้เป็นค่ำวันศุกร์จึงมีการแสดงแสง สี เสียงในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์

ซึ่งเขาจะเล่นกันบริเวณวัดสระศรีที่อยู่กลางน้ำค่ะ

เราสามารถจับจองพื้นที่นั่งอร่อยกับอาหารเมนูต่างๆ

จากตลาดปสานพร้อมชมการแสดงแบบไกลๆ มืดๆ ไปได้พร้อมๆ กันค่ะ

บรรยากาศระหว่างรอชม

เราสองคนเลือกเมนูนี้ประกอบการชมดีกว่าค่ะ

ข้าวเกรียบปากหม้อมีทั้งหมด 4 ไส้ อาหย่อยยยย

รอชมกันค่ะ

และแล้วการแสดงก็เริ่มขึ้น

ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกันค่ะ เราสองคนชมจนจบ ได้เวลากลับที่พักกันเสียที

พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ ไปไหนต่อไหนกันต่อ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราสองคนเดินออกมาหน้าที่พักค่ะ

เห็นพี่สกายแล็บผ่านมาเลยบอกว่าช่วยพาไปตลาดหน่อยแล้วกัน

ไปดูกันค่ะ พี่เขาจะพาเราไปที่ไหน

สกายแล็ปที่นี่มีสองแบบค่ะ มีทั้งนั่งข้างหน้า ทั้งนั่งข้างหลัง แปลกดี

และแล้วพี่เขาก็พาเรามาถึงที่หมาย

ตลาดชาวบ้านดีจริงๆ ค่ะพี่ขา โอเคเลยค่ะ ลองเดินดู มีอะไรให้รับเป็นอาหารเช้าได้บ้าง

ร้านนี้น่าสนใจค่ะ นั่งเลยดีกว่า อย่ามัวรอช้า กระเพาะสั่งมา

ชามนี้สำหรับหนูเล็ก ไม่เครื่องใน ไข่ 1 ลูก อร่อยสุดยอดค่ะป้า

ลุงสุดหล่อร้านข้างๆ นำเสนอกาแฟร้อน รับประกันผลงานว่าอร่อยที่สุด คงเพราะมีร้านเดียวแถวๆ นี้ แหะๆ

ยกพวงใส่มาให้เลย ห่างหายแก้วกาแฟแบบนี้ไปนาน ถูกใจใช่เลยค่ะคุณลุง

อิ่มแล้วก็เดินชมตลาดกันเสียหน่อย ตลาดนี้น่าจะเป็นตลาดชาวบ้านๆ จริงๆ ผักหญ้า ปลาแม่น้ำมาเพียบ

เห็ดถอบหรือเห็ดเผาะ เห็ดดีที่ต้องรอคอย เพราะมันจะมากับหน้าฝน

เหมือนเราสองคนจะอิ่มเกิน เลยพากันเดินเรื่อยเปื่อยถือโอกาสชมตัวเมืองยามเช้ากลับมาที่พักเสียเลย

ระหว่างทางค่ะ

ไปแวะตลาดสดเทศบาลเสียหน่อย ทำให้พบว่าอาหารเช้าจริงๆ ของชาวสุโขทัยต้องนี่เลยค่ะ

ขายติดๆ กัน 3-4 เจ้า

เพื่อให้มีความสุโขทัย จัดไปค่ะ หิ้วกลับมาคนละห่อ

กลับมาเอารถที่ที่พักแล้วก็จะอยู่ไปใย ออกไปตะลอนเที่ยวกันอีกดีกว่า

เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่าลืมไปไหว้ "ศาลพระแม่ย่า" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุโขทัยกันค่ะ

มาถึงแล้วเข้าไปข้างในกันเลยดีกว่าค่ะ

"พระแม่ย่า" เป็นเทวรูปสลักหินชนวนที่ชาวสุโขทัยเคารพนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

แต่เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่ถ้ำแม่ย่า ในเขตเทือกเขาหลวง

บริเวณหมู่บ้านโว้งบ่อ อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย

สลักด้วยหินชนวนเป็นรูปสตรี มีเครื่องประดับอย่างสตรีโบราณสูงศักดิ์

ประทับยืนตรง แขนทั้งสิงข้างแนบกาย

ทรงภูษาปล่อยชายไสวเป็นเชิงชั้นทั้งสิงข้าง ไม่สวมเสื้อหรือสไบ

ใส่กำไลต้นแขน กำไลข้อมือและกำไลข้อเท้าทั้งสองข้าง

สวมฉลองพระบาทปลายงอน พระพักตร์ยาว พระหนุเสี้ยม สวมมงกุฎเป็นชฎาทรงสูง

ยอดศิลาส่วนเหนือมงกุฎแตกบิ่นหายไปเล็กน้อย

ขนาดของพระรูปรวมแท่นหินจำหลักอยู่ในแผ่นหินเดียวกันมีความสูง 52 นิ้ว

ประวัติของพระแม่ย่านั้น ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าเป็นใคร

แต่ชาวสุโขทัยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คือ นางเสือง

พระราชชนนีของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยนั้นกษัตริย์เปรียบเสมือนพ่อของคนทั้งเมือง

ไพร่ฟ้าประชาชนเปรียบประดุจลูก จึงเรียกมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า "ย่า"

ใกล้ๆ กับศาลพระแม่ย่าเป็นศาลากลางจังหวัดสุโขทัย

และจะมีที่ประดิษฐานพระพุทธรูปงามๆ อยู่ไม่ห่างกันด้วย

พระพุทธอุทยานสุโขทัย

ตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย ลักษณะอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบปรางค์ห้ายอด

เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย (จำลอง) ขนาดเล็กกว่าองค์จริง

ที่มีพุทธลักษณะงดงามจำนวน 9 องค์

โดยเป็นความคิดริเริ่มของนายนรินทร์ พานิชกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยในขณะนั้น

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542

จากนั้นเราไปต่อกันที่วัดตระพังทองค่ะ ไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดนัก

อยู่บนเส้นทางไปอุทยานประวัติศาสตร์ฯ ค่ะ จอดรถแล้วก็เดินไปกันเลย

วัดตระพังทองเป็นโบราณสถานที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนใหม่และยังมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่

ตั้งอยู่กลางตระพังทองซึ่งกว้างยาวด้านละประมาณ 200 เมตร มีสระน้ำอีกหลายสระ

ภายในวัดมีพระอุโบสถเก่าอยู่ทางทิศตะวันออก

ส่วนพระอุโบสถใหม่นั้นราษฎรเรี่ยไรเงินกันสร้างขึ้นอยู่ทางทิศตะวันตก

มีสะพานไม้ขนาดใหญ่ทอดข้ามไปยังเกาะนี้

บนเกาะมีมณฑปสร้างใหม่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท

ซึ่งปรากฏเรื่องราวในจารึกสุโขทัยหลักที่ 8 ศิลาจารึกเขาสุมนกูฎว่า

พระมหาธรรมราชาลิไทโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตามแบบรอยพิมพ์จากลังกาใน พ.ศ. 1902

และให้นำไปประดิษฐาน ณ ภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย เรียกว่า เขาสุมนกูฎ ดังในลังกาทวีป

(ปัจจุบันเรียกว่า เขาพระบาทใหญ่) มีงานนมัสการพระบาทนี้เป็นประจำทุกปี

จุดเด่นของวัดที่เห็นได้ชัดคือ

เกาะกลางตระพังเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ซึ่งยอดและคอระฆังหักพังลงมาแล้ว

จากที่นี่เราออกรถเดินทางไปต่อค่ะ

ยังมีวัดสำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์ที่หนูเล็กต้องไปให้ได้อีกแห่งหนึ่ง

นั่นคือ วัดศรีชุม ไม่ไปไม่ได้เลย ไปกันดีกว่า

ถึงแล้วไปชมความงดงามกันดีกว่าค่ะ

เป็นวัดที่อยู่นอกบริเวณกำแพงเมือง นั่นแปลว่าในการเข้าชมจะเสียค่าเข้าชมอีก 20 บาท

ถ้าจ่ายมาแล้วก็ต้องจ่ายใหม่ค่ะ

คำว่า "ศรี" มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า "สะหลี" ซึ่งหมายถึง ต้นโพธิ์

ดังนั้นชื่อ ศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์

แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย

ไม่เข้าใจความหมายนี้ จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ฤๅษีชุม

ไปชมรอบๆ กันก่อนค่ะ

นักท่องเที่ยวเริ่มว่างแล้ว ไปชมกันดีกว่าค่ะ

ในสมัยอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองแครง

ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง (สวรรคโลก)

ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการของพระองค์ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง

และได้มีการมาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมืองเชลียง

แต่ด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน

ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบไม่อยากรบ

สมเด็จพระนเรศวรจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหาร

โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ

และพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนาน "พระพูดได้" ที่วัดศรีชุมแห่งนี้

วัดศรีชุมนั้น สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ว่า

"เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้...............มีพระอจนะ มีปราสาท" พระประธานในมณฑปจึงมีชื่อว่า "พระอจนะ"

งดงามมากเหลือเกิน

ว่ากันว่าพระพุทธรูปในสมัยสุโขทัย หน้าตาจะดูงดงามมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีการศึกสงครามในยุคนั้น

เราสองคนใช้เวลาที่วัดศรีชุมค่อนข้างนาน อาจเพราะบรรยากาศดูร่มรื่น

องค์พระอจนะพระพักตร์อ่อนโยนจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ

กว่าจะปลีกตัวไปจากที่แห่งนี้ได้ก็นานทีเดียวค่ะ

วัดถัดไปที่เราไปกันก็คือ วัดสรศักดิ์

เป็นวัดที่ไม่เคยมีใครรีวิวเลยค่ะ แต่หนูเล็กว่าแปลกดี เพราะอะไรไปดูกันค่ะ

วัดนี้ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง บริเวณใกล้กันกับศาลตาผาแดง

ลักษณะเด่นของวัดนี้คือมีเจดีย์ประทานทรงระฆัง หรือทรงลังกาที่มีช้างล้อมรอบฐาน

ตามความเชื่อว่าช้างเป็นสัตว์พาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์

ที่คู่ควรกับการเป็นพาหนะค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนตลอด 5,000 ปี

เป็นวัดที่มีช้างล้อมค่ะ แต่ไม่ได้ชื่อวัดช้างล้อม

ช้างที่ล้อมวัดเจดีย์นี้ดูสมบูรณ์ยิ่งกว่าวัดช้างล้อมที่อุทยาน ปวศ.ศรีสัชนาลัยอีก งวงยังเป็นงวงอยู่เลยค่ะ

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา โบราณสถานอีกแห่งที่หนูเล็กเลือกไปเยือนก็คือ วัดพระพายหลวง

วัดพระพายหลวงเดิมเป็นเทวสถาน เนื่องจากพบชิ้นส่วนของเทวรูปและฐานศิวลึงค์

ต่อมาปรับเปลี่ยนมาเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแบบมหายานในราวพุทธศตวรรษที่ 18

มีปรางค์ก่อด้วยศิลาแลง 3 องค์ เป็นศิลปในยุคเดียวกับศิลปะเขมรแบบบายน

โบราณสถานที่สำคัญคือ วิหาร 5 ห้อง อยู่ด้านหน้าปรางค์

เจดีย์ทรงเหลี่ยมแต่ละชั้นมีพระพุทธรูปนั่งลดหลั่นอยู่ภายในทั้ง 4 ซุ้ม

รอบเจดีย์มีระเบียงคด และมีร่องรอยตั้งพระพุทธรูปปูนปั้น ถัดจากเจดีย์เหลี่ยมมีมณฑปก่ออิฐ

มีพระพุทธรูปปูนปั้นเป็นพระพุทธรูปยืนติดกับด้านหน้ามณฑป 5 องค์

ที่ปรากฏชัดเจนคือพระพุทธรูปปางลีลา ถัดจากมณฑปมีวิหารพระนอน

และมีวิหารเจดีย์ราย มีคูน้ำล้อมรอบวัดทั้ง 4 ด้าน

บริเวณโดยรอบวัดพระพายหลวงกว้างมากค่ะ อดเดินชมบริเวณรอบๆ แวะตามล่าผี...อีกไม่ได้ อิอิ

จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เวลาเราสองคนเหลือเฟือเกิน

หนูเล็กออดอ้อนพี่ใหญ่ขอไปไหว้พระสำคัญที่ทุ่งเสลี่ยมดีกว่า ออกเดินทางไปกันค่ะ

เป้าหมายของเราคือ วัดทุ่งเสลี่ยม

สาเหตุที่หนูเล็กอยากมาที่วัดทุ่งเสลี่ยม ก็เพราะว่า...

ที่นี่เป็นวัดที่ประดิษฐาน หลวงพ่อศิลา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหินทรายปางนาคปรกที่งดงามที่สุดองค์หนึ่ง

และหนูเล็กเกิดวันเสาร์ การได้มากราบนมัสการพระประจำวันเกิดก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

หลวงพ่อศิลา เป็นนามที่ชาวบ้านวัดทุ่งเสลี่ยมเรียกขาน

พระพุทธรูปนาคปรก ปางสมาธิ สกัดจากหินทรายสีเทา

ทรงกรองศอพาหุรัด กุณฑล สวมศิราภรณ์ สวมมงกุฎเทริด

พระพักตร์ทรงสี่เหลี่ยม ประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานขนาดนาค 3 ชั้น

นาคที่ปรกอยู่เหนือพระเศียรนั้นมี 7 เศียร ด้านหลังหางนาคพาดขึ้นมาถึงลำตัว มีลวดลายแบบศิลปะลพบุรี

ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงประทานความเห็นไว้ว่า

"..พระพุทธรูปองค์นี้ ที่กระบังหน้ามีแนวขึ้นมาตรงกลาง

ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบของโบราณวัตถุที่ทำขึ้นในประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรี เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศิลปะเขมร

เพราะแม้ลักษณะทั่วไปจะดูคล้ายกัน แต่พระพักตร์นั้นไม่เป็นแบบขอม"

ตักบาตรเหรียญสลึงก็มีค่ะ

หรือจะเขียนชื่อบนใบโพธิ์เงินใบโพธิ์ทองก็ได้ค่ะ

บนยอดหลังคามณฑปที่ประดิษฐานหลวงพ่อศิลา นกพิราบเกาะกันอย่างเป็นระเบียบดีจัง

ได้เวลาเติมพลังแล้วค่ะ หามุมเงียบๆ ของวัดกันสักนิดดีกว่า เรามีเสบียงกันมาแล้ว อย่าลืมสิ...

ห่อนี้ของพี่ใหญ่ค่ะ

ส่วนนี่ของหนูเล็ก

และเรามีของหวานที่รับประทานร่วมกันเป็นสิ่งนี้ที่สู้อุตส่าห์วิ่งฝ่าฝนลงไปซื้อเมื่อวานนี้

เป้าหมายต่อไปเป็นวัดใหม่ๆ บ้างค่ะ ไปกันๆๆ

วัดที่เราจะไปกันคือ วัดพิพัฒน์มงคล ค่ะ

เพราะอะไรต้องมาที่นี่ ตามมากันเลย

วันที่หนูเล็กมา มหาวิหารนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างปรับปรุงให้งดงามอลังการ

ด้านในยังสามารถเข้าไปไหว้พระได้ค่ะ แต่ไม่สวย

หลวงพ่อทองคำ

ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือ องค์หลวงพ่อทองคำ ซึ่งมีหลายองค์ถูกขุดพบที่บริเวณวัดพิพัฒน์มงคลทั้งสิ้น

แต่ละองค์จะมีทองคำผสมอยู่ใน % ที่แตกต่างกันไป มากบ้างน้อยบ้าง

องค์ที่มีทองคำมากที่สุดนั้นมีมากถึง 90% มีน้ำหนักทองคำกว่า 9 กิโลกรัม

วันที่หนูเล็กมาเยือนวางไว้ให้สักการะสององค์หันหลังชนกัน

ไปชมส่วนที่สวยๆ ของวัดนี้กันดีกว่าค่ะ

พุทธวิหารลายคำ ซึ่งสร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง

สวยมากมาย

เข้าไปไหว้พระด้านในกันดีกว่าค่ะ

ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระธาตุรากขวัญไหปลาร้า)

ซึ่งได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายสยามวงศ์ในนครแคนดี้

ประดิษฐานพระแก้วรัตนชาติ ซึ่งประกอบด้วยสีมรกต บุษราคัม ไพลิน ทับทิม และเพชรน้ำค้าง

ชมความงามด้านในของไม้สักทองกันบ้างค่ะ

ได้เวลาเดินทางกลับแล้วค่ะ

แวะชมวิวเขียวๆ ระหว่างการเดินทางกลับเสียหน่อย

ขับรถมาเรื่อยๆ นึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้จะกลับแล้วยังไม่ได้เตรียมของฝากเลย

มาสุโขทัยจะมีอะไรดีไปกว่าการซื้อถั่วทอด หลังจากเมื่อวานลองซื้อถั่วทอดครูสายหยุดไปแล้ว ถูกจายยย

วันนี้ก็จัดอีกสิคะ รออารายกันอยู่

ถั่วทอดของสุโขทัย ต้องแวะซื้อที่นี่เลยค่ะ อ.ศรีสำโรง อยู่บนทางผ่านพอดี แวะเลยค่ะ แวะเลย

ร้านนี้ร้านแรกค่ะ อยู่ในตลาด มีหลากหลายราคา สามถุงร้อย ห้าถุงร้อย เลือกซื้อตามสะดวกเลย

หลังจากซื้อเสร็จก็วนรถออก

OMG !!! สายตาหนูเล็กให้สะดุดกับ

ร้านถั่วทอดครูสายหยุด สาขา 2 เมื่อวานก็ผ่านค่ะ แต่ไม่เห็น จอดรถสะดวกกว่าเยอะเลย

แต่เพื่อความเท่าเทียม เราต้องซื้อจากร้านดังที่ใครๆ เขาเคยพูดถึงเพื่อเอาไปทานด้วย

จะได้ไม่เป็นการลำเอียงต่อร้านใดร้านหนึ่งเกินไป

ร้านนี้อยู่ริมถนนเลยค่ะ หาง่าย สะดวก ถั่วทอดลอนศิลป์ (ครูแจ๋ว)

หนูเล็กจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า อ.ศรีสำโรง มีร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยๆ ที่เขาแนะนำอยู่ร้านหนึ่ง

ก็เลยให้พี่ใหญ่ลองใช้ google map หาพิกัดร้านก่อนที่เราจะพลาดการลิ้มลอง

มือไวเท่าความคิด พี่ใหญ่สนองกิเลสทันทีค่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตาพุธ อยู่ริมน้ำยม ไม่ไกลจากจุดนี้


ถึงร้านแล้ว ยังจะรออะไรคะ สั่งเลยค่ะ

ลุงพุธนั่งอยู่นั่นเอง

บะหมี่แห้งต้มยำ

ผัดไทย

ขนมหวานแบบ self-service ค่ะ

ได้มาแล้วค่ะ

อิ่มฝุดๆ แล้ว คราวนี้เดินทางกันได้เสียที เป้าหมายข้างหน้ารออยู่ค่ะ ที่ไหนน่ะเหรอคะ

....บ้ า น ก ง...

ทำไมต้องไป มันมีเหตุผลค่ะ

สาเหตุที่ต้องไป "บ้านกง" หรือ อำเภอกงไกรลาศ กันให้ได้ในวันนี้ก็เพราะว่า

ทุกวันเสาร์ต้นเดือนหรือเสาร์แรกของเดือน

ระหว่างเวลา 16.00-21.00 น. ที่อำเภอกงไกรลาศ

เขาจะจัดถนนคนเดินบริเวณริมแม่น้ำยม ติดวัดกงไกรลาศ

นักท่องเที่ยวสามารถเอารถไปจอดที่วัดแล้วเดินไปเที่ยวได้ค่ะ

เป็นตลาดย้อนยุคที่มีร้านต่างๆ มาขายอาหาร ของใช้ งานฝีมือท้องถิ่น การแสดงของชุมชน

นับเป็นตลาดที่ยังมีความเป็นท้องถิ่นอยู่มาก ร้านรวง บ้านเรือนยังเป็นประตูเฟี้ยมอยู่เลย

ระหว่างการเดินทางก็มีลุ้นไปตลอดทางค่ะ เพราะฝนตกพรำๆ ตลอด ทั้งหนักสลับพรำ

ได้แต่ลุ้นว่าเมื่อไปถึงจะหยุด และเราก็คงได้เดินเที่ยวตลาดริมยมที่เขาจัดกันแค่เดือนละครั้ง

และเราก็ได้มีโอกาสมาเยือนพอดิบพอดี และแล้วเราก็เดินทางไปถึงในขณะที่ฝนกำลังหนักเลย แง....

นั่งรอในรถสักพักฝนซาเม็ดก็เลยลงไปเดินดูบรรยากาศแบบเหงาๆ กัน

พ่อหนุ่มคนนี้รอต้อนรับ เลยให้เก๊กหน้าหล่อๆ ถ่ายรูปค่ะ

สาว (เหลือ) น้อย เตรียมตัวมาแสดงกันเต็มที่เลย

ฝนเทมาอีกรอบ เราสองคนเลยต้องจบการทัวร์ ตลาดริมยมด้วยความเสียดาย

ก่อนกลับแอบแวะมองร้าน "บ้านขนมผิงแม่ติ๋ม" ร้านขนมผิงขึ้นชื่อของบ้านกงที่หากจะซื้อก็คงต้องมาแต่วัน

เพราะที่หน้าบ้านติดป้ายบอกไว้แล้วว่า "หมดแล้วค่ะ" เขามีคำกล่าวกันไว้ว่า

หากของมีจะแง้มประตูขาย แต่ถ้าของหมดประตูบ้านจะเปิด เอ๊ะ ยังไง

หมดเวลากับสุโขทัยกันจริงๆ แล้วค่ะ....

เช้าวันกลับ...เรารีบออกเดินทางมายังสนามบินสุโขทัยแต่เช้า จะได้ไม่มีอะไรขลุกขลัก

เช็คอินแล้วก็เดินเข้าไปด้านในเลยค่ะ

มีที่นั่งให้เพียบเลย โปร่งโล่ง สบาย

Lounge เล็กๆ มีข้าวต้มมัดเผือกสำหรับเช้านี้

พนักงานมายืนรอส่งกันเต็มเลย

ลำเล็กๆ อบอุ่นดี

พร้อมออกเดินทางแล้ว

อาหารเช้าขากลับเป็นเบอร์เกอร์พะแนงไก่ รสชาติใช้ได้ทีเดียว

เพียงชั่วโมงเดียว สนามบินสุวรรณภูมิก็อยู่เบื้องล่างแล้ว


และแล้วทริป 3 วัน 2 คืนของพี่ใหญ่และหนูเล็กกับสุโขทัยก็สิ้นสุดลง

ต้องขอบคุณบางกอกแอร์เวย์ที่ช่วยปล่อยโปรฯ ออกมา

ทำให้เราสองคนได้มาย้อนรำฤกถึงอดีตอันแสนยิ่งใหญ่ของคนไทย

โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็สามารถมีความสุขได้ถึงเพียงนี้


หากมีเวลาน้อย ลองจัดทริปเล็กๆ แบบนี้ ไปเยือนเมืองเก่าแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยกันดูค่ะ

แล้วจะรู้สึกเหมือนที่หนูเล็กรู้สึก

เมื่อได้ไปเดินที่นั่น ความสงบ ร่มเย็น ของดินแดนแห่งนี้ ทำให้หนูเล็กรู้สึกเช่นนี้จริงๆ


.......Sukhothai : Rising of Happiness........


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ หากอยากพูดคุยทักทาย ชมภาพถ่ายทริปอื่นๆ ของพี่ใหญ่กับหนูเล็ก

ไปแวะเยี่ยมชมทักทายกันได้ค่ะ

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันพฤหัสที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.37 น.

ความคิดเห็น