เดือนก่อนเราพักการเขียนบทความรีวิวทริปเที่ยวกาญจน์ไปก่อน เพราะต้องเขียนรีวิว “โรงแรม Dusit D2 HuaHin” หลังจากไปพักฟรีจากรางวัลแลกคะแนนของเว็บ Readme แทรกไว้ เดี๋ยวจะลืม 5555 แต่วันนี้เรากลับมาเขียนรีวิวเที่ยวกาญจน์ฯ กันต่อในทริป “ตัวอยู่ที่กาญจน์ ใจอยู่ที่เธอ” ซึ่งเป็นทริปเที่ยวจังหวัดนี้ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2563 และวันที่ไปก็ตรงกับวันเกิดของเราพอดีเลยถือโอกาสฉลองวันเกิดซะเลย เกริ่นมาซะนาน เกรงว่าเพื่อน ๆ จะเริ่มเบื่อก่อนเลื่อนลงอ่านบทความ 😅😅😅 งั้นเราเริ่มเลยดีกว่าค่า!

สองทริปก่อนหน้านั้นเรามักจะแวะไปกินอาหารกลางวันที่ร้าน “ครัวจ่าพอง” จังหวัดนครปฐมก่อนเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี แต่ทริปนี้เปลี่ยนร้านกันบ้างด้วยการนั่งรถไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในจังหวัดกาญจนบุรีเลยรวดเดียวให้รู้สึกหิวหน่อย ๆ จะได้กินอาหารอร่อย ซึ่งร้านอาหารที่ว่านั้นก็คือร้าน “โก๊ขิว ราชากบทอด” ในอำเภอท่ามะกาที่เป็นร้านอาหารป่าเก่าแก่และมีชื่อเสียงประจำจังหวัด โดยเมนูที่เราสั่งก็มีไก่ผัดเผ็ดเหน่อไม้ดอง, ทอดมันปลากราย และกบทอดกระเทียม รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยเด็ดเผ็ดถึงใจ ชอบสุดก็ไก่ผัดเผ็ดเหน่อไม้ดอง รสชาติจัดจ้านมาก กินไปดื่มน้ำไปค่ะ 5555

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ระหว่างรอเช็กบิลอาหาร พี่เดินไปเข้าห้องน้ำหลังร้าน แมวก็ปีนเข้ามานั่งเก้าอี้แทน เพื่อจะกินอาหาร 5555 ด้วยความเอ็นดูบวกกับเราชอบแมวอยู่แล้ว (เราเริ่มชอบแมว เพราะการ์ตูนการ์ฟิลด์นี่แหละ) เราเลยไม่ไล่ ปล่อยแมวกินตามสบาย สักพักก็มีคนถือแผงลอตเตอรี่มาขายถึงโต๊ะ จึงเลือกซื้อเผื่อจะถูกหวยในวันเกิดค่ะ 🤣🤣🤣

จากนั้นเราก็นั่งรถเดินทางต่อไปเที่ยวชม “ถ้ำกระแซ” หลังจากพลาดชมเมื่อทริปที่แล้ว คราวนี้ได้มาเที่ยวสมใจอยาก เนื่องจากท้องฟ้าครึ้ม ๆ อากาศไม่ร้อนมากนัก ซึ่งเรามาทางเส้นทางที่มายังรีสอร์ตสวนไทรโยค ระหว่างเดินไปยังถ้ำกระแซก็เสียวไปด้วย ไหนจะกลัวความสูง ไหนจะกลัวตกลงไปข้างล่าง แถมยังต้องระวังรถไฟอีก 5555 พอเดินบนรางรถไฟมาเรื่อย ๆ จนถึงถ้ำกระแซ ปากทางเข้าถ้ำมีป้ายแสดงความรู้/เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับถ้ำแห่งนี้ว่าเป็นถ้ำขนาดเล็กและเคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งที่สร้างทางรถไฟสายมรณะและสะพานข้ามแม่น้ำแควค่ะ

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำกระแซ ถ้ำค่อนข้างปลอดโปร่งและเบื้องหน้ามี “หลวงพ่อถ้ำกระแซ” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตั้งประดิษฐานให้ผู้คนได้กราบไหว้สักการะ ด้วยความที่ครบรอบวันเกิด เราจึงเข้าไปไหว้พระเพื่อเสริมสิริมงคล หลังจากกราบไหว้หลวงพ่อถ้ำกระแซแล้วก็เดินออกมาข้างนอกถ้ำ เพื่อชมวิวสวย ๆ บริเวณโดยรอบ โชคดีที่คราวนี้มาเที่ยวได้ถูกจังหวะพอดีเลยได้ชมรถไฟแล่นผ่านถ้ำกระแซเลียบหน้าผาสูงชันบริเวณช่วงโค้งมรณะค่ะ

พอเที่ยวชมถ้ำกระแซแล้วก็นั่งรถเดินทางไปเช็กอินเข้าพักที่โรงแรมแห่งเดิมนั่นคือ “โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท” เข้าพักทุกครั้งที่มาเที่ยวจนกลายเป็นลูกค้าประจำของโรงแรมไปแล้ว 5555 เมื่อเช็กอินเข้าที่พักแล้วก็พักให้หายเหนื่อยในห้องพักซะหน่อยหลังจากเดินทางมาไกล ตอนเย็นสักประมาณ 4 โมงครึ่ง - 5 โมง เราก็นั่งรถมากินอาหารเย็นที่ร้านคาเฟ่ “The Village Farm To Cafe'” ร้านคาเฟ่เดิมอีกเช่นกันค่ะ

ถึงร้านคาเฟ่ The Village Farm To Cafe' แล้ว เราก็นั่งหลบมุมนั่งโต๊ะที่ใกล้กับประตูด้านหลังร้าน ซึ่งสามารถชมวิวธรรมชาติสวย ๆ ที่มีภูเขาโอบล้อมและทุ่งหญ้าเขียวขจี โดยเมนูที่เราสั่งก็เป็นเมนูเดิมอีกเช่นกันคือ “ซี่โครงหมูอบเท็กซัสขนาดเล็ก” กับ “ชุดไส้กรอกรวมย่าง” แบ่งกันกิน 3 คนพอดีอิ่ม ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานสุดอร่อยอย่าง “วาฟเฟิลกรอบเมลอนซอฟต์ครีม” และเดินทางกลับที่พัก รีบอาบน้ำนอนเพื่อเก็บแรงเที่ยวในวันถัดไปค่ะ

วันรุ่งขึ้นหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถออกไปกินอาหารเช้าที่ร้าน “ป้ายูรแกงป่า” ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต ใกล้กับสุสานสัมพันธมิตรดอนรัก ส่วนมากจะเน้นขายอาหารป่าและอาหารพื้นบ้านรสชาติเผ็ดจัดจ้าน โดยเมนูที่เราสั่งได้แก่ หมูหวาน, ไก่ผัดเผ็ดหน่อไม้ดอง, ไข่พะโล้ และผัดเผ็ดกระดูกอ่อน อร่อยทุกจานเลย ชอบสุดก็ไก่ผัดเผ็ดหน่อไม้ดองกับหมูหวานนี่แหละ แถมราคาถูกด้วยค่ะ

กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปเที่ยวชมน้ำตกเอราวัณที่ “อุทยานแห่งชาติเอราวัณ” ท่ามกลางฝนตกปรอย ๆ พอไปถึงก็ถ่ายรูปป้ายก่อนเลยให้รู้ว่ามาเที่ยวน้ำตกจริง ๆ นะ ไม่ได้เที่ยวทิพย์ 5555 จากนั้นก็เดินตามเส้นทางธรรมชาติเข้าไปเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงน้ำตก ระหว่างทางจะมีป้ายบอกชื่อน้ำตกและระยะทางของน้ำตกแต่ละชั้นค่ะ

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

เมื่อเดินไปถึงชั้นน้ำตกแล้วแอบผิดหวังอย่างแรง เนื่องจากคืนก่อนวันที่จะมาเกิดฝนตกหนัก ทำให้มีน้ำป่าไหลหลาก น้ำตกกลายเป็นสีน้ำตาลขุ่นเลย 5555 จึงไม่สามารถเข้าไปชมน้ำตกได้ ชมได้แค่เพียงน้ำตก 2 ชั้นเท่านั้น คือน้ำตกชั้นที่ 1 “ไหลคืนรัง” กับน้ำตกชั้นที่ 2 “วังมัจฉา” ส่วนน้ำตกชั้นที่ 3 จนถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นน้ำตกชั้นบนสุด เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปชม เพราะน้ำป่าไหลหลากลงมาแรงมาก หากขึ้นไปจะทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ เสียดายสุด ๆ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาเที่ยวชมใหม่แล้วกันเนอะ ^^”

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

หลังจากผิดหวังเรื่องอดเที่ยวชมน้ำตกเอราวัณ เพราะมีน้ำป่าไหลหลาก พี่กับเราก็เดินออกมานั่งรถกอล์ฟ (ค่าบริการคนละ 30 บาท) ที่ลานด้านล่างของน้ำตกชั้นที่ 1 ใกล้กับห้องน้ำ เพื่อไปยังลานจอดรถของทางอุทยานฯ จากนั้นก็นั่งรถเดินทางต่อไปยัง “เขื่อนศรีนครินทร์” ที่ตั้งอยู่บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ ซึ่งเขื่อนศรีนครินทร์ถือเป็นเขื่อนที่สำคัญเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองที่สร้างขึ้นบนแม่น้ำแควใหญ่แล้วยังเป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างเขื่อนแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ ปัจจุบันเขื่อนศรีนครินทร์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่พักผ่อนที่สวยงามในจังหวัดกาญจนบุรีค่ะ

พอเดินทางมาถึงเขื่อนศรีนครินทร์ เราก็ชมวิวทิวทัศน์และสิ่งที่น่าสนใจบริเวณสันเขื่อน เช่น พระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางสมาธิที่ตั้งประดิษฐานบริเวณพลับพลาสันเขื่อน, ป้ายเขื่อน, กำแพงเขื่อนสูงลิ่ว เมื่อมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นประตูระบายน้ำและแม่น้ำแม่กลองไหลคดเคี้ยวไปตามหุบเขา, อ่างเก็บน้ำที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และมีเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ เสียดายที่ไม่ได้ชมสวนเวลารำลึกและนั่งเรือเข้าไปชมวิวทิวทัศน์ภายในเขื่อนที่มีเรือนแพต่าง ๆ คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว หากมีเงินและมีโอกาสจะหาเวลามาพักค้างคืนในอ่างเก็บน้ำอย่างแน่นอนค่ะ

เที่ยวชมเขื่อนศรีนครินทร์แล้วถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี เราก็นั่งรถออกไปกินอาหารเที่ยงกัน แต่ระหว่างทางนั่งรถออกมาตรงปากทางสู่ถนนใหญ่ก็เห็นน้ำตกขนาดย่อมอยู่ข้างทาง เรารู้สึกว่าสวยแปลกแหวกแนวดีเลยลงมาถ่ายรูปสักหน่อย ซึ่งน้ำตกขนาดย่อมนี้คาดว่าน่าจะเป็นน้ำขังไว้ตามโขดหินหรือไม่ก็เป็นน้ำที่กักเก็บสะสมบนภูเขาค่ะ

ถ่ายรูปน้ำตกขนาดย่อมเสร็จก็นั่งรถมาเรื่อย ๆ ไปกินอาหารกลางวัน ณ “ร้านบ้านต้นน้ำ” ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยสไตล์บ้านสวนที่ตั้งอยู่ริมถนน ตรงข้ามกับเอราวัณรีสอร์ท โดยเมนูที่เราสั่งนั้นได้แก่ กุ้งทอดราดซอสมะขาม, ข้าวผัดกุ้ง, ต้มยำปลาคังน้ำใส และทอดมันปลากราย พอได้กินแล้วบอกเลยว่าอร่อยทุกจานจริง ๆ โดยเฉพาะเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขามที่ถือเป็นเมนูเด็ดของร้านเลยทีเดียว ใครที่จะไปเที่ยวชมเขื่อนศรีนครินทร์หรือน้ำตกเอราวัณอย่าลืมเพิ่มพลังด้วยอาหารอร่อย ๆ กันที่ร้านนี้นะคะ รับรองว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน แถมบรรยากาศก็ชิลล์มาก เพราะมีต้นไม้นานาชนิดรายล้อม เหมือนมานั่งกินข้าวบ้านเพื่อนยังไงยังงั้นเลยค่ะ

หลังจากเติมพลังยามบ่ายจนอิ่มแปล้แล้ว จึงนั่งรถกลับมานอนตากแอร์ในห้องพักตามสไตล์ “หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” นอนเล่น ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย ไม่นานก็หลับ 5555 ตอนเย็นตื่นมาก็ถึงเวลาอาหารค่ำพอดี เราจึงนั่งรถไปกินอาหารมื้อเย็นที่ร้าน “ครัวอนงค์” ซึ่งเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ชื่อดังประจำจังหวัดกาญจนบุรีที่ตั้งอยู่ในตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง ใกล้กับสามแยกหนองขาว โดยเราสั่งเมนูหมูคลุกฝุ่น, ไก่ไทยรวนเค็ม, ไข่เจียวสมุนไพร และผัดเผ็ดกระดูกอ่อนใบยี่หร่า รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อมกำลังดีค่ะ

กินอาหารคาวเสร็จแล้วปิดท้ายด้วยการกินของหวานกันต่อที่ร้าน Little Anong Coffee” ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าร้านภายในพื้นที่ร้านครัวอนงค์ แยกมาจากพื้นที่ร้านอาหารอีกที เนื่องจากลูกของเจ้าของร้านครัวอนงค์เป็นเจ้าของร้านคาเฟ่นี้นั่นเอง โดยเมนูของหวานที่เราสั่งก็มีวาฟเฟิลแอนด์ครีมกับลิตเติลฮันนีโทสต์ รสชาติไม่หวานมาก อร่อยกำลังดีเลย สำหรับใครที่แวะมาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีแล้วอยากกินทั้งอาหารคาวรสอร่อยจัดจ้านและขนมหวานแก้เผ็ดในพื้นที่ใกล้ ๆ กันล่ะก็... แนะนำให้มากินที่ร้านครัวอนงค์กับ Little Anong Coffee เลยค่ะ

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

วันรุ่งขึ้นหลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วก็นั่งรถเดินทางไปชม “ต้นจามจุรียักษ์” เป็นอันดับแรกก่อนจะกินอาหารเช้า เพราะเกรงว่าตอนสาย ๆ จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเยอะ ประกอบกับต้องการมาถ่ายรูปต้นไม้สวย ๆ และวิวทิวทัศน์โดยรอบแบบไม่ติดคน เพื่อที่ว่าจะได้นำมาเขียนบล็อกนั่นเอง แต่ระหว่างทางนั่งรถไปชมต้นจามจุรียักษ์ ข้างทางก็จะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและมีม้าออกมากินหญ้าบริเวณรั้วที่กั้นไว้ตามแนวถนน เราเลยถ่ายรูปสักหน่อยค่ะ ^^

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

พอเดินทางมาถึงต้นจามจุรียักษ์แล้ว รู้สึกดีใจมากที่มาเที่ยวเป็นคนแรก ๆ จะได้ถ่ายรูปสวย ๆ แบบไม่ติดคน 5555 ซึ่งต้นจามจุรียักษ์เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่อายุมากกว่า 100 ปีที่ตั้งอยู่บริเวณบ้านเขาตก หมู่บ้านกสิกรรม ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง โดยลำต้นมีขนาดเท่า 10 คนโอบและสูงถึง 20 เมตรเลยทีเดียว ส่วนกิ่งก้านใบตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงาที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งไร่เศษและรากของต้นไม้แต่ละแขนงที่มีขนาดใหญ่ก็ยังแผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตเช่นเดียวกับกิ่งก้าน ที่สำคัญบริเวณรอบต้นจามจุรียักษ์ยังมีสะพานวงกลมแบบยกพื้นสูงเหนือพื้นดินล้อมรอบลำต้นไว้ให้เป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน เพื่อหลบแดดหลบฝน หรือตากลมเย็น ๆ ใต้ต้นไม้ค่ะ

หลังจากถ่ายรูปวิวทิวทัศน์และต้นจามจุรียักษ์จนจุใจแล้วจึงนั่งรถไปกินอาหารเช้าที่ร้าน “หมอชู” ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรีที่ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง ส่วนมากจะเน้นอาหารป่า อาหารพื้นบ้าน และปลาแม่น้ำเป็นหลัก โดยเมนูอาหารที่เราสั่งได้แก่ ไก่ผัดเผ็ดหน่อไม้ดอง, ไข่คอนโด, กบผัดกระเพรา และกุ้งฝอยชุบแป้งทอด รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อม มีทั้งอาหารเผ็ดจัดจ้านถึงใจกับอาหารแก้เผ็ดอย่างละครึ่ง เรียกได้ว่าตื่นขึ้นมาก็กินอาหารรสเผ็ดแต่เช้าเลยทีเดียวค่ะ 5555

Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้
Credit by: รูปนี้พี่ถ่ายให้

กินอาหารคาวแต่เช้าก็ต้องกินของหวานหรือไอศกรีมแก้เผ็ดกันต่อที่ร้าน สะพานนาคาเฟ่” ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่สุดชิคที่ตั้งอยู่ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง มีลักษณะเป็นบ้านแฝดสีขาวหลังคาหน้าจั่ว คล้ายโรงนาสไตล์โมเดิร์นแบบเรือนกระจกใส สามารถมองเห็นวิววัดถ้ำเสืออย่างเด่นชัด โดยเมนูที่สั่งก็มีไอศกรีมกะทิที่เสิร์ฟในลูกมะพร้าวกับน้ำพั้นช์ ระหว่างที่รอขนมหวานกับเครื่องดื่ม เราก็เดินไปถ่ายรูปวิวทิวทัศน์หลังร้านบนสะพานไม้ที่ทอดยาวไปจนถึงกลางทุ่งนาสีเขียว ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ จนเพลินไปหน่อย พอเดินกลับมาที่โต๊ะ แม่กับพี่ก็กินไอศกรีมกะทิจนหมดแล้ว เราเลยอดกิน 5555 แต่ยังดีที่พี่ถ่ายรูปไอศกรีมกะทิส่งมาให้ทางไลน์ และเหลือน้ำพั้นช์ไว้ให้เรา ไม่งั้นเราคงเซ็งน่าดูค่ะ 🤣🤣🤣

จากนั้นก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อนั่งเล่นดูโทรทัศน์ให้ท้องย่อยสักหน่อยก่อนจะเตรียมเก็บกระเป๋าเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม เมื่อเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็นั่งรถเดินทางไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน “ซุ่นเฮง” ซึ่งเป็นร้านผัดไทยเก่าแก่เปิดขายมานานกว่า 70 ปีและมีชื่อเสียงประจำจังหวัดกาญจนบุรีที่ตั้งอยู่บนถนนแสงชูโต ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง พอนั่งรถไปถึงร้านช่วงบ่ายโมงกว่า ๆ คนในร้านก็ยังเยอะอยู่ ไม่มีโต๊ะนั่ง เลยยืนรอสักพัก เมื่อได้โต๊ะนั่งแล้วก็เริ่มสั่งอาหาร โดยเราสั่งเมนูทอดมันปลากราย, ขนมเบื้องไข่, กระเพาะปลาน้ำแดง และผัดไทยกุ้งสด รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อม หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็นั่งรถเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพค่ะ

รีวิวเที่ยวทริป “ตัวอยู่ที่กาญจน์ ใจอยู่ที่เธอ” จบแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? สำหรับใครที่วางแผนว่าจะไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีในช่วงวันหยุดยาวปลายเดือนนี้ สามารถตามรอยเราจากบทความนี้ หรือว่าจะคลิกหาข้อมูลตามลิงก์ “สถานที่ท่องเที่ยว” กับ ร้านอาหาร/ร้านคาเฟ่ ได้เลย ส่วนทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ในทริปสุดท้ายของปี 63 เพื่อน ๆ อดใจรออ่านอีกนิด ไม่นานเกินรอค่ะ ^^

Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว

 วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 00.38 น.

ความคิดเห็น