การเดินทางทริปยาวๆ ของพี่ใหญ่และหนูเล็กเดินทางกันมาได้ค่อนทางได้แล้วค่ะ

ทริปยาว 12 วัน 11 คืน เริ่มจะวกกลับกันแล้ว

แต่ก่อนจะวกกลับมีหรือที่พี่ใหญ่กับหนูเล็กจะไม่ขอแว่บออกนอกเส้นทางกันบ้าง มาออกเดินทางกันต่อเลยค่ะ

วันนี้หนูเล็กกับพี่ใหญ่พากันตื่นแต่เช้าเพราะนึกอยากไปเดินตลาดเช้าของ Takayama กัน

จากที่พัก Ayun Takayama Central Hotel เดินไปตามแนวถนน Kokubunji จนถึงสะพาน Kajibashi

ข้ามแม่น้ำ Miyakawa ไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะพบกับ ตลาดเช้าหรือ Miyakawa Morning Market

สถานีตำรวจที่อยู่ตรงข้ามกับตลาดเช้า

ตลาดนี้พ่อค้าแม่ค้าจะเริ่มทยอยมาวางของขายกันก็ราวๆ เจ็ดโมงเช้า

ร้านค้าจะเริ่มตั้งร้านยาวไปตลอดแนวริมน้ำไปจนถึงสะพาน Yayoi bashi ระยะทางประมาณ 350 เมตร

มีสินค้าต่างๆ นาๆ ทั้งผัก ผลไม้ ผักดอง งานฝีมือ ต้นไม้ ดอกไม้ อาหาร ขนม ของที่ระลึกต่างๆ

และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นตุ๊กตา Surabobo ที่มีจำหน่ายเกือบทุกร้าน

ร้านค้าในแต่ละวันจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฟ้าฝนหรืออากาศหนาวเป็นหลัก

ป้ายประกาศชวนชิมเนื้อฮิดะก็มีเกือบทุกร้าน

จากตลาดเช้าเราสามารถเดินต่อไปยังบริเวณย่านเมืองเก่า (Old Private House) อีกด้านหนึ่ง

ไม่ใช่ที่ถนน Sanmachi ที่เดินเมื่อวานนี้

ไม่ไกลจากสะพาน Yayoibashi บริเวณนั้นจะมีบ้านเก่าของตระกูล Yoshijima และตระกูล Miyaji

ซึ่งสามารถติดต่อขอเข้าชมได้ด้วย แต่เรามาเดินกันเช้าเกินไป บ้านทุกหลังจึงปิดเงียบกันหมด

ตามแผนเราจะใช้เวลากับ Takayama กันแค่นี้

แม้ในความเป็นจริง Takayama ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่ได้รับการชื่นชมจากนักท่องเที่ยว

โดยเฉพาะหมู่บ้านพื้นเมืองฮิดะ (Hida no Sato) ซึ่งจัดแสดงบ้านเก่าที่ได้รับการบูรณะกว่า 30 แห่ง

นำมาจากหลากหลายแห่งรอบๆ เมืองฮิดะ

มีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้โบราณที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

บริเวณนี้ก็เป็นสถานที่เก็บเกี้ยวอีกเช่นกัน

แต่เป็นเพราะเรามีเป้าหมายอื่นที่น่าสนใจกว่านั้น เพราะมีสถานที่หนึ่งที่คนไทยส่วนน้อยจะรู้จักและนิยมมาเที่ยว

และเราจะไปที่นั่นกัน เราจึงเลือกใช้เวลาที่ทาคายามาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

จากทาคายามาเราออกเดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 158

แวะจุดพักรถริมทาง เข้าเดินช้อปปิ้งกันหน่อยเป็นไร

ผลิตภัณฑ์เพื่อการหมักเนื้อตามตำหรับฮิดะ

ออกเดินทางกันต่อ

เส้นทางสายนี้พาเราผ่านป่าเขา ธรรมชาติสองข้างทางอีกเช่นเคย

บางช่วงจะเป็นพวกแปลงเกษตรกรรมให้เราวิ่งผ่านตรงกลาง

ครอบครัวชาวนา ชาวสวน กำลังช่วยกันทำเกษตรกรรมในครัวเรือนกัน

การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป

ถ้าวันนี้แดดไม่แรง ทิวทัศน์สองข้างทางคงจะทำให้บรรยากาศน่าพิสมัยกว่านี้เป็นแน่

หลังจากใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงเป้าหมายที่เราต้องการแล้วค่ะ

เอารถเข้าที่จอดกันก่อนเลย

บริเวณนี้เขาเรียกว่า Kiso Valley อยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ Nagano

ซึ่งจะประกอบด้วยหมู่บ้านเล็กๆ สามหมู่บ้านได้แก่ Magome, Tsugamo และ Narai

ทั้งสามหมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่สำคัญเมื่อราว 400 ปีก่อน

ช่วงเริ่มต้นสมัยเอโดะ (Edo) ซึ่งการเดินทางทั้งหมดเป็นไปด้วยการเดินเท้า

เส้นทางหลักสำคัญที่ใช้ในการขนส่งลำเลียงสินค้าไปมาระหว่างเอโดะ

ซึ่งหมายถึงโตเกียวในปัจจุบัน และเกียวโต มีชื่อเรียกว่า Nakasendo

ซึ่งอาจแปลเป็นได้ว่า "เส้นทางผ่าหุบเขา" ด้วยระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร

จึงจำเป็นต้องมีสถานที่สำหรับหยุดพักค้างแรมและรับประทานอาหารในระหว่างเดินทางเป็นระยะๆ

ในที่สุดจุดพักเหล่านี้ก็ได้เติบโตขึ้นกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ

และ Nakasendo ก็กลายเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจในยุคกลางของญี่ปุ่น

และเมืองที่เราเลือกมาเยือนก็คือ หนึ่งในสามเมืองในสมัยเอโดะอย่าง Narai หรือ Naraijuku

เนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจาก Matsumoto ปลายทางในค่ำคืนนี้ของพวกเรา

Narai เป็นเมืองที่อยู่กลางทางระหว่างเกียวโตกับเอโดะบนเส้นทางนากาเซนโด (Nagasendo Route)

จัดได้ว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในบรรดาทั้งหมด

ทำให้ปัจจุบันมีบ้านเรือนดั้งเดิมหลายหลังที่ยังคงสภาพดีอยู่มากเมื่อเทียบกับอีกสองเมือง

เดินทางมาไกล เข้าห้องน้ำกันก่อนค่ะ

เมื่อจอดรถยังพื้นที่จอด เราจะต้องเดินผ่านสถานีรถไฟเพื่อเข้าสู่ Narai ทางด้านทิศเหนือ

ชาวญี่ปุ่นจะเรียกเมืองเก่าๆ แบบนี้ว่า Post Town เมื่อลอดทางรถไฟไป

เราจะเข้าสู่ถนนสายหลักของเมืองที่เรียงรายไปด้วยบ้านไม้สองชั้นลักษณะคล้ายคลึงกัน

ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และที่พักแบบโฮมสเตย์

ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงรักษาบางส่วนของ Nakasendo ไว้

ให้มีสภาพดังเช่นที่เคยเป็นมาในยุคเอโดะเมื่อหลายร้อยปีก่อนทุกประการ

และนี่คือข้อเท็จจริงที่ว่าเพราะอะไรเราจึงให้ความสนใจกับ Takayama

ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า Little Kyoto น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

เพราะพวกเรารู้สึกว่าบางครั้งความงดงามของวัฒนธรรมโบราณเหล่านั้น

ถูกกองทัพนักท่องเที่ยวที่แห่แหนมาเยี่ยมเยือนจนแออัดได้ทำลายบรรยากาศดิบๆ แท้ๆ ไปเสียจนสิ้น

ตัวเมืองเองก็จำเป็นต้องสร้างบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้นจนละเลยความดิบ ความแท้ ที่เริ่มต้นไว้ให้ค่อยๆ หายไป

เพื่อตอบรับกับปริมาณของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนขึ้น

เท่าที่หนูเล็กสังเกตดูนักท่องเที่ยวที่มาเดินส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่น ร้านต่างๆ ขายข้าวของจำพวกงานฝีมือเป็นหลัก

ส่วนหนึ่งก็คงเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเก่าๆ ที่เราค่อยๆ เดินผ่านไป

ต้อนรับเทศกาลเด็กผู้ชาย

หน้าร้านน่ารักๆ

ต่อแถวซื้อน้ำองุ่นราคาแก้วละร้อยเยน

มีทั้งแบบองุ่นขาวและองุ่นแดง

มีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้นเลย

ศาลเจ้าเล็กๆ แบบดั้งเดิม

เดินไปเดินมาจนท้องร้อง ขอแวะทานราเมงกันก่อนดีกว่า

อันนี้ของหนูเล็กค่ะ

ส่วนพี่ใหญ่ขอโด๊บไข่สักฟอง

ร้านนี้ขายไอศกรีม น่ากินมาก แต่เราไม่สามารถใช้บริการกันได้แล้ว

หากใครได้มาเดินที่นี่ จะพบว่า บรรยากาศจะแตกต่างจากการเดินที่ถนน Sanmachi ที่ Takayama โดยสิ้นเชิง

ซึ่งหากอยากรู้ว่าแตกต่างอย่างไร ก็คงต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองดูค่ะ

คราวนี้พาชมบริเวณด้านนอกเมืองเก่ากันดูบ้างค่ะ

สวนสาธารณะใกล้ๆ ที่จอดรถ

สะพาน Kiso Ohashi เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดของประเทศญี่ปุ่น สร้างในช่วงปี ค.ศ.1990


หนูเล็กใช้เวลาของบ่ายวันนี้ไปอย่างเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกสนุกเลยค่ะ แต่รู้สึกสุขในหัวใจเสียมากกว่า ฮิ้ววววว

แต่ถึงจะมีความสุขยังไงก็คงต้องออกเดินทางไปยังที่พักกันแล้วค่ะ

ตั้ง GPS ปลายทางที่ Ryokan Seifuso ที่ Matsumoto

รอบนี้เรากลับมาพักที่เมืองเดิมอีกครั้งก็จริง แต่เปลี่ยนที่พักมานอนแบบเรียวกัง และอยู่คนละทำเลกับที่เดิม

เพราะคำนวณจากระยะทางที่จะเดินทางกลับไปคืนรถในวันพรุ่งนี้แล้ว น่าจะพอทำเวลาได้อยู่


และแล้วก็มาถึงที่หมาย Ryokan Seifuso http://ryokanseifuso.jp/english/

เจ้าของเรียวกังจัดเตรียมห้องพักรอท่าไว้แล้ว เขาจัดที่พักไว้ให้ที่อีกตึกหนึ่ง มีที่จอดรถ สะดวกสบาย

สาวเจ้าของเรียวกังอธิบายเงื่อนไขต่างๆ พร้อมมอบแผนที่แบบอาร์ตๆ สำหรับการหาที่กิน ที่ออนเซ็น ที่ซื้อของไว้ให้เรียบร้อย

ลองไปดูที่พักที่เธอจัดเตรียมไว้ให้เรากันเลย

ห้องพักขนาด 4 คน ราคา 18,160 เยน

มีห้องส้วมในตัว แต่ห้องอาบน้ำรวม

พื้นที่ครัวส่วนกลาง ทุกคนที่พักมาใช้บริการได้เต็มที่

ที่พักแห่งนี้หากจะนับจริงๆ แล้วถือเป็นที่พักที่ราคาย่อมเยาที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา

และยิ่งเมื่อได้มาเห็นที่พักที่เขาจัดเตรียมไว้รอต้อนรับพวกเรา ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับราคาเสียจริงๆ เลย

หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่กันเรียบร้อยก็ขอเข้าเมืองไปชมบรรยากาศยามเย็นและหาอาหารในเมืองรองท้องกันหน่อย

และไม่ลืมแวะไปชมปราสาท Matsumoto ยามเย็นอีกหน


ปราสาทมัตสึโมโต้ยามเย็นก็ให้ความงามในอีกแบบหนึ่งแตกต่างจากวันก่อนที่เรามาเยือนในยามเช้า

ไหนๆ ก็มาแล้วแวะไปที่ถนนกบกันหน่อย ถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งติดกับแม่น้ำ Metoba จริงๆ ก็คือถนน Nawate Dori

สาเหตุที่เรียกว่า “ถนนกบ" ก็เพราะว่ามีรูปปั้นกบอยู่ตรงปากทางเข้า

เมื่อเดินเข้าไปจะมีร้านขายของต่างๆ ร้านอาหาร ร้านผักผลไม้ ร้านเบเกอรี่เล็กๆ ร้านขนม

Yahashira Jinja ศาลเจ้าที่ชาวเมืองนิยมมากัน

ถนนคนเดินที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง

ความเป็นมาของ “ถนนกบ" ในแง่ของคำพ้องรูปพ้องเสียง นั่นคือ กบ ในภาษาญี่ปุ่นคือ คาเอรุ (kaeru)


ซึ่งตรงกับภาษาญี่ปุ่นอีกตัวที่แปลว่า กลับ แต่ออกเสียงเหมือนกัน

ร้านค้าบนถนนเส้นนี้จึงนำมาใช้เป็นจุดขายสินค้าต่างๆ ที่เป็นรูปกบ

โดยจะบอกว่า “Visitors buy Kaeru and go home Kaeru (safety)"

นั่นคือ ถ้าซื้อกบ ก็จะเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย

ตอนที่อ่านข้อมูลท่องเที่ยวมา เขาบอกว่าร้านแถวนี้จะปิดราวๆ 1 – 2 ทุ่ม

แต่วันไหงวันนี้เพิ่งจะหกโมงเย็นร้านก็เริ่มทยอยปิดกันแล้ว

หรือจะเป็นเพราะอากาศค่อนข้างเย็น ผู้คนไม่ค่อยมาเดินโต้ลมหนาวกันก็ไม่รู้ได้ จึงค่อนข้างเงียบๆ ไม่มีผู้คนเท่าใดนัก

เมื่อไม่มีผู้คน ไม่มีร้านรวงอะไรให้เดินดูข้าวของ ก็คงได้เวลาที่เราต้องกลับไปพักผ่อนกันเสียทีแล้ว

ส่งท้ายด้วยภาพปราสาท Matsumoto ยามค่ำคืน


การเดินทางในวันรุ่งจะเป็นวันสุดท้ายที่พวกเรามีรถยนต์เป็นพาหนะ เพราะจะกลับเข้าโตเกียวกันแล้ว

แต่รับรองค่ะ พวกเราจะใช้บริการเจ้าโตโยต้าวิทซ์คันงามกันจนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว

วันนี้ขอลาไปนอนเอาแรงก่อนออกเดินทางต่อค่ะ


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางของพี่ใหญ่กับหนูเล็กและทักทายกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/



Piyai&Noolek

 วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.23 น.

ความคิดเห็น