บันทึกการเดินทางในวันนี้ อยากจะรวบรวมการเดินทางของน้องภูพิงค์ทั้งหมด ตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ จนกระทั่งน้องเดินทางมาจนอายุครรภ์เกือบ 9 เดือนในวันนี้ (ใกล้จะคลอดแล้วจ้า) เพื่ออยากให้เพื่อนๆ คุณแม่ทั้งหลายได้เห็นอีกมุมมองหนึ่ง ว่าถึงแม้จะเป็นคนท้อง แต่คนท้องก็เที่ยวได้นะคะ ยิ่งได้เที่ยว ยิ่งมีความสุข มีความเบิกบานใจ ลูกน้อยจะอารมณ์ดีด้วยค่ะ



## 3 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ##


ปลายเดือนกันยายน 2559 อันที่จริง คุณแม่ยังไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าได้ตั้งท้องน้องภูพิงค์ได้ 3 สัปดาห์กว่าๆ แล้ว แต่คุณแม่ก็ลากน้องไปทริปเที่ยวนาขั้นบันไดที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย งานนี้บอกเลยว่าสมบุกสมบันมาก

ทริปนี้นั่งเครื่องจากดอนเมืองไปลงสนามบินเชียงใหม่ จากนั้นเช่ารถที่สนามบินขับไปยัง อ.จอมทอง อ.แม่แจ่ม (เส้นทางไป อ.แม่แจ่มอาจจะชวนเวียนหัวสักหน่อยค่ะ ทางโค้งไปคดมา ใครยังขับรถบนดอยไม่คล่องต้องระมัดระวังหน่อยค่ะ)

อ.แม่แจ่ม เป็นอ.เล็กๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ แทรกตัวอยู่ในป่าเขาของดอยอินทนนท์ ไปถึงอ.แม่แจ่มแล้ว คุณแม่กับปาป๊าจอดรถไว้ที่โรงแรมแม่แจ่มโฮเทล แล้วเช่ารถมอเตอร์ไซด์ 1 คันค่ะ เราจะแว้นไปเที่ยวนาขั้นบันไดกัน


ที่แรก.... นาขั้นบันไดบ้านกองกาน ที่นี่เป็นนาขั้นบันไดที่สวยมากอีกแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม อยู่ทางเดียวกับทางไปวัดพุทธเอ้น ช่วงที่จะเห็นต้นข้าวเขียวขจีแบบนี้เป็นช่วงปลายเดือนกันยายนค่ะ



แวะถ่ายรูปนาขั้นบันไดที่บ้านกองกานเสร็จแล้ว คุณแม่กับปาป๊าแว้นต่อไปที่บ้านตีนผา ซึ่งจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านป่าบงเปียงค่ะ แต่เราจะแวะถ่ายรูปวิวสวยๆ ที่บ้านตีนผากันก่อน


บ้านตีนผา ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัว อ.แม่แจ่มประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านของชาวเขาปกากญอ อยู่ระหว่างทางไปบ้านป่าบงเปียง เดินทางเข้าไปทางโรงเรียนอินทนนท์วิทยาทางจะดีกว่า แต่ก็ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือรถมอเตอร์ไซด์ค่ะ ทางลำบากน่าดูแต่น้องภูพิงค์แข็งแรงและอดทนมาก เป็นทริปที่สนุกมากค่ะ

ภาพนี้เป็นภาพเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน จะเห็นนาขั้นบันไดสีเขียวขจี มีสายหมอกคลอเคลียไปกับทิวเขาเป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ



นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง... จุดหมายหลายคนของนักเดินทางหลายๆ คน และเป็นจุดหมายของคุณแม่น้องภูพิงค์กับปาป๊าในวันนี้ด้วยค่ะ

การเดินทางมาที่นี่ จะต้องใช้รถโฟร์วิล หรือรถมอเตอร์ไซด์เท่านั้นนะคะ มาทาง อ.แม่แจ่ม บ้านทุ่งยาว โรงเรียนอินทนนท์วิทยา ทางจะดีกว่าค่ะ และวิวสวยมากๆ หากใครที่ขี่รถมอเตอร์ไซด์ไม่เป็น ก็สามารถใช้บริการรถเช่าจากโฮมสเตย์ที่เราจองไว้ได้ค่ะ ซึ่งอาจจะมีค่าบริการเพิ่มเติม อันนี้จะต้องสอบถามกับทางที่พักดู

ช่วงที่น้องภูพิงค์ไปนั้น มีฝนตกด้วยค่ะ ทางลื่นแฉะน่าดู บางช่วงที่ปาป๊าแว้นมอเตอร์ไซด์อยู่ เราจะต้องจอดรถแล้วคุณแม่ไปช่วยเข็นเลยทีเดียว คือทางมันมีทั้งช่วงที่เป็นหิน เป็นร่องแตกกลางถนน และเป็นหลุมเป็นบ่อ จากขี่มอเตอร์ไซด์อยู่ดีๆ กลายเป็นคุณแม่กับปาป๊าต้องช่วยกันเข็นรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นเนินแทนซะอย่างนั้นค่ะ น้องภูพิงค์ช่างสมบุกสมบันดีแท้

มาดูความสวยงามระดับโลก ในแบบที่พักหลักร้อย แต่วิวหลักล้าน ของที่บ้านป่าบงเปียงกันค่ะ



ที่พักที่นี่จะราคาเท่ากันหมดคือคิดหัวละ 500 บาทค่ะ มีอาหารเย็นในแบบเรียบง่ายให้ ทานคู่กับวิวหลักล้านแบบนี้นะคะ

อาหารเช้าก็จะเป็นพวกกาแฟร้อนๆ จิบกาแฟคู่กับวิวหลักล้านวนไปค่ะ บรรยากาศแบบนี้หาในกรุงเทพฯ ไม่ได้นะเออ อยากฟินแบบนี้ ต้องไปป่าบงเปียงค่ะ



เช้าของอีกวัน หลังจากจิบกาแฟ เดินเล่นชมวิว เอาหน้าไปสัมผัสกับสายหมอกแล้ว คุณแม่กับปาป๊าก็เตรียมตัวออกจากบ้านป่าบงเปียง จะไปที่ อ.จอมทองกันต่อค่ะ เช้านั้นมีฝนพรำๆ ด้วย โชคดีที่เตรียมกระเป๋ากันน้ำไปด้วยค่ะ ทำให้กล้องถ่ายรูปและของสำคัญๆ ไม่เปียกฝน

หลังจากคืนรถมอเตอร์ไซด์ที่เราเช่า ที่ อ.แม่แจ่มเสร็จแล้ว ก็ขับรถเช่าของเราออกจากแม่แจ่ม กลับเข้าเมืองเชียงใหม่ แต่จะแวะเที่ยวที่นาขั้นบันไดบ้านผาหมอนกันก่อนค่ะ


ปิดทริปเที่ยวนาขั้นบันไดของน้องภูพิงค์ วัย 3 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ที่นาขั้นบันได บ้านผาหมอน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ จุดเด่นของที่นี่ก็คือที่พักที่เรียกว่า Bamboo Pink House ซึ่งมองเห็นวิวของนาขั้นบันไดได้สวยงามเลยทีเดียวค่ะ

บ้านผาหมอน อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ราว 100 กิโลเมตร จากถนนสู่ดอยอินทนนท์ ทางเข้าหมู่บ้านผาหมอนระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หน้าฝนทางไม่ค่อยดีรถเก๋งจะเข้าไม่ได้นะคะ แต่ช่วงที่น้องภูพิงค์ไปนั้นเป็นช่วงเดือนปลายเดือนกันยายน หมดฝนพอดี รถเก๋งสามารถค่ะ




## 7 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ##


ปลายเดือนตุลาคม 2559 น้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่าน เป็นครั้งแรกค่ะ เป็นทริปนอนเต็นท์ครั้งแรกของเด็กหญิงภูพิงค์ด้วยค่ะ

ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงที่ได้ลุ้นว่าจะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ ยามเช้าที่นี่ไหม แต่เช้านั้นน้องภูพิงค์ก็ต้องผิดหวังเพราะคืนนั้นลมแรง ยามเช้ามีทะเลหมอกให้เห็นเพียงจางๆ แต่ภาพพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ก็สวยงามตราตรึงใจมาก ทำให้คุณแม่กดชัตเตอร์รัวๆ ไปเยอะเลยทีเดียวค่ะ



ในขณะทั้งตั้งครรภ์อ่อนๆ แต่คุณแม่นักเดินทางยังคงต้องเดินทางต่อไป สิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมากก็คือการเคลื่อนไหวของร่างกายเราเองค่ะ เดินขึ้นลงบันได เดินในจุดต่างๆ ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ระวังสิ่งกีดขวาง ระวังทางไม่เรียบ ระวังทางลื่น และสิ่งที่ต้องเตรียมติดตัวไปตลอดก็คืออาหารบำรุงคุณแม่นั่นเองค่ะ

ทริปนี้คุณแม่เตรียมนมบำรุงไปเป็นแพ็คๆ เลย เอาแช่กล่องเก็บความเย็นไปเลยค่ะ เตรียมน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยวระหว่างเดินทางให้พร้อม เพราะทริปนี้ปาป๊าขับรถไปเองจากกรุงเทพฯ เลย กว่าจะถึงน่านก็นานพอสมควรค่ะ



อาหารเช้าที่แสนอร่อย เป็นไข่เจียวโปะข้าวสวยร้อนๆ ในราคาไม่แพง จากทางอุทยานค่ะ

โชคดีที่คุณแม่เป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย ทานได้ทุกอย่าง แค่จานนี้จานเดียวร้อนๆ ก็อิ่มแล้วค่ะ พร้อมออกเดินทางต่อได้เลย




หลังจากพักค้างแรมที่อุทยานแห่งชาติขุนสถาน ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2559 แล้ว น้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์เศษๆ หรือเกือบ 2 เดือนในครรภ์คุณแม่ ก็ได้มุ่งหน้ามาที่ อ.ปัว จ.น่าน


ที่นี่ ปาป๊านัดกับเพื่อนๆ ของปาป๊าไว้ และคุณแม่ก็อยากมาแวะสวัสดีทักทายคุณลุงสนอง เจ้าของ "ไออุ่นวิว โฮมสเตย์" ค่ะ คุณแม่กับปาป๊าเคยมาพักที่ไออุ่นวิวอยู่หลายครั้ง เพราะถูกใจในอัธยาศัยใจดีของคุณลุงสนองค่ะ มื้อนี้คุณลุงทำกับข้าวให้ทานกันด้วย มีทั้งอาหารใต้และอาหารเหนือ แหม... คุณแม่นี่ฟินใหญ่เลยค่ะ

ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 5 ห้องเท่านั้น มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น น้ำอุ่น และ wi-fi ค่ะ กับวิวทุ่งนาที่มองเห็นได้จากหน้าต่างห้องพักเลยกับราคาห้องพักแค่หลักร้อยเท่านั้น



หลังจากทานข้าวกับคุณลุงสนองเสร็จ ปาป๊ากับเพื่อนๆ ก็ชวนกันไปจิบกาแฟชิลๆ ที่ร้านกาแฟดังแห่งเมืองปัวกันต่อ


"ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ" อ.ปัว จ.น่าน เป็นอีกสถานที่ที่เป็น A Must ของเมืองปัวเลยทีเดียวนะคะ ใครไปเยือนเมืองปัวก็ต้องแวะมาชิมกาแฟและชมวิวสวยๆ ของที่นี่ ที่ตั้งเดียวกับ "ลำดวนผ้าทอ" นั่นเองค่ะ

ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม จะได้เห็นทุ่งนาสีเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง ลมพัดเย็นสบาย มีศาลาให้นั่งจิบกาแฟชมวิว ดีต่อใจคุณแม่มากๆ ค่ะ (อ๊ะๆ แต่คุณแม่ทานกาแฟไม่ได้นะคะ ได้แค่เดินผ่านแล้วก็ดมกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ สดๆ กันไปตาละห้อยค่ะ)




คุณแม่เดินระวังๆ หน่อยนะคะ น้องภูพิงค์ยังตัวเล็กมากๆ ในพุงค่ะ



เดินผ่าน และได้แค่ดมค่ะพี่น้อง..... หอมจริงอะไรจริง



และในวันเดียวกัน หลังจากจิบกาแฟที่ร้านกาแฟบ้านไทลื้อเสร็จแล้ว ปาป๊ากับเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันค่ะ เพราะคุณแม่กับปาป๊าจะพาน้องภูพิงค์ไปเชียงรายต่อ

จากปัว ไปเชียงราย เราจะใช้เส้นทางจาก อ.ท่าวังผา อ.สองแคว จ.น่าน เข้าสู่ อ.ปง อ.เชียงคำ จ.พะเยา และ อ.เทิง จ.เชียงรายค่ะ เส้นทางเป็นป่าเขาลำเนาไพร ขับรถกันช้าๆ นะคะ เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวค่ะ


เส้นทางนี้ เราจะได้ผ่านจุดชมวิวหลักล้านอีกจุดหนึ่งที่ อ.ปง จ.พะเยา

ที่นี่เป็นร้านกาแฟที่กำลังมาแรงมากใน พ.ศ.นี้ ด้วยวิวหลักล้านบริเวณด้านหลังของร้านกาแฟ Magic Mountain เจ้าของเดียวกับภูลังการีสอร์ท น้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์กว่าๆ ในครรภ์คุณแม่ก็แวะไปเที่ยวมาแล้วนะจ๊ะ ร้านกาแฟวิวหลักล้านแห่งนีั้ตั้งอยู่ริมถนนสาย 1148 เส้นทาง อ.ปง - อ.สองแคว ช่วงเช้าๆ ในบางวันอาจจะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ กันด้วยค่ะ

และเหมือนเดิมค่ะ คุณแม่ดื่มกาแฟไม่ได้ค่ะ ไม่ดีต่อน้องภูพิงค์ในพุงเป็นแน่แท้ ได้แค่ดมกลิ่นหอมๆ ของกาแฟวนไปค่ะ

บางทีเมื่อมองปาป๊าที่กำลังจิบกาแฟเพลินๆ มันก็อยากกินอยู่หน่อยๆ นะ

ไม่เป็นไร คุณแม่เดินชมวิวถ่ายรูปวนไปก็ได้ค่ะ (เดินระมัดระวังนะคะ ตั้งครรภ์อ่อนๆ นี่อย่าให้เดินสะดุดเชียวค่ะ)




จาก น่าน สู่พะเยา และเชียงราย.....

นาทีนี้คงไม่มีใครรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของจังหวัดเชียงราย อย่าง "ไร่สิงห์ปาร์ค" นะคะ ที่นี่นอกจากจะมีสวนดอกไม้สวยๆ ไร่ชาสวยๆ ทุ่งดอกคอสมอส ยังมีเส้นทางปั่นจักรยานวิวงามๆ พุทราอร่อยขึ้นชื่ออย่างพุทราไร่บุญรอด และร้านอาหารภูภิรมย์ที่แสนอร่อย

หลังจากน้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์กว่าๆ ในครรภ์คุณแม่ เดินทางขึ้นเขาลงห้วยมาหลายเที่ยวแล้ว คราวนี้คุณแม่พามาเดินเล่นสบายๆ ที่ไร่บุญรอดกันบ้างค่ะ

บรรยากาศยามเย็นที่นี่ขอบอกว่า สุดยอดไปเลย ดีต่อใจมากค่ะ คุณแม่พาคุณยายไปเที่ยวด้วย คุณยายเป็นคนเชียงรายค่ะ ได้เดินบนสนามหญ้าสีเขียวๆ สบายตา อากาศช่วงเดือนตุลาคมที่ไม่ร้อนจนเกินไป และได้ชมดอกไม้สวยๆ ทำให้คุณแม่กับคุณยายเพลิดเพลินมาก แบบนี้น้องภูพิงค์คงจะคลอดมาอารมณ์ดีแน่ๆ เลยค่ะ





จากเชียงราย สู่เมืองแพร่

ยังค่ะ... ทริปของน้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์กว่าๆ ในครรภ์คุณแม่ ยังไม่จบแค่นี้.... เพราะทริปนี้เรียกว่าเป็นทริปที่โหดมากที่สุดของน้องภูพิงค์เลยก็ว่าได้


หลังจากอยู่กับคุณยายที่เชียงรายได้ 3-4 วัน ก็ได้เวลาออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้วค่ะ แต่เนื่องจากปาป๊าของน้องภูพิงค์มีงานที่จะต้องเข้าไปจังหวัดแพร่ ไปตามหมู่บ้านชาวเขาต่างๆ ด้วย งานนี้หินทั้งปาป๊าและคุณแม่เลย เพราะไม่เคยไปสักที่ เปิด google map ไปอย่างเดียวค่ะ



ที่แรกที่จะไปเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าเมี่ยน อ.สอง จ.แพร่ เป็นสถานที่ที่ไม่เคยไปอีกแล้ววววว งานนี้ก็ถามทางจาก google map อย่างเดียวเลยค่ะ แต่ก่อนจะไปถึง อ.สองนั้น เราแวะเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนางกันก่อน เห็นว่าที่นี่มีน้ำตกที่สวยงามมากทีเดียว

แต่เดี๋ยวก่อน... เมื่อเห็นทางเข้าน้ำตกแล้ว ปาป๊าบอกว่า คุณแม่รออยู่ข้างนอกกับนกยูงนี่แหล่ะ ไม่ต้องเดินหรอก เดี๋ยวปาป๊าจะเดินไปเที่ยวน้ำตกคนเดียว ฮ่าๆๆๆ

คือเส้นทางต้องเดินหลายร้อยเมตรค่ะ แม่ลูกอ่อนอย่างเราเลยขอนั่งพักอยู่ด้านนอก เดินเล่นชมวิว คุยกันนกยูงวนไปค่ะ



จากอุทยานแห่งชาติดอยภูนาง สถานที่ที่ปาป๊าของน้องภูพิงค์จะต้องไปทำงานคือหมู่บ้านชาวเขาเผ่าเมี่ยน ที่บ้านบ่อต้นสัก อ.สอง จ.แพร่ งานนี้ก็ไม่รู้เส้นทางอีกตามเคย google map กันไปค่ะ



พวกเรามาถึงบ้านบ่อต้นสักแล้ว ด้วยความที่มีอีกหมู่บ้านชาวเขาอีกที่หนึ่งที่จะต้องเข้าไป ตาม google map บอกให้เข้าทางหมู่บ้านบ่อต้นสักนี่แหล่ะ เราถามจากชาวบ้านแล้ว เขาก็บอกว่าเข้าทางนี้ แต่รถยนต์เข้าไม่ได้ ต้องใช้มอเตอร์ไซด์เท่านั้น คุณลุงในหมู่บ้านก็ใจดีให้เรายืมรถมอเตอร์ไซด์เข้าไป



ตอนแรกๆ หนทางมันก็เรียบๆ ดีอยู่ค่ะ สักพัก มันเข้าป่าอีกแล้ว มันต้องขี่ผ่านสวนของชาวบ้าน ขึ้นเนินขึ้นเขา เป็นทางลูกรัง เป็นทางที่มีแต่หินแหลมๆ เป็นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ.......

โถ... ลูกภูพิงค์ของแม่ สงสารลูกเหลือเกินที่ต้องมาลำบากกับแม่กับปาป๊า

เส้นทางโหดยิ่งกว่าไปบ้านป่าบงเปียง 10 เท่าเลยค่ะ งานนี้ขอลงจากรถ แล้วให้ปาป๊าค่อยๆ ขี่มอเตอร์ไซด์ไปคนเดียว คุณแม่ขอเดินไปค่ะ อย่างน้อยก็ได้รับการกระเทือนน้อยกว่าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์นะเออ



หลังจากกึ่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ กึ่งเดิน และนั่งพักไปตลอดทางด้วยความเหนื่อยหอบ ถามชาวบ้านที่ขี่รถมอเตอร์ไซด์สวนทางมา ก็บอกว่าอีกไม่ไกล หมู่บ้านนั้นเข้าไปทางนี้แหล่ะถูกแล้ว เราก็มีกำลังใจ ค่อยๆ คลานกันไปเรื่อยๆ

พอไปถึงจุดนี้เท่านั้นแหล่ะ..... น้ำตาตกในอีกแล้วค่ะ เราไม่สามารถเอารถข้ามลำธารนี้ไปได้ คือชาวบ้านทำได้ แต่เราไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าจะเอาตัวเองกับลูกไปเสี่ยงขนาดนั้น ปาป๊าก็ไม่ไหวแล้ว เพราะทั้งรถทั้งคนตอนนี้เละไปด้วยโคลน ตัวคุณแม่เองก็ไม่ไหว สงสารลูกมากๆ ที่ต้องมาลำบากเข้าป่าด้วยกันขนาดนี้

ถามว่าเข้ามาทำไม.... คือมันเป็นงานของปาป๊า คุณแม่ก็ไม่อยากให้ปาป๊าต้องทำงานเองคนเดียว เราต้องช่วยกัน แม่ลูบท้องบอกลูกตลอดว่า เรามาช่วยปาป๊าทำงานนะ ขอให้ลูกแม่เข้มแข็งและอดทน แต่พอไปถึงลำธารนี้เท่านั้นแหล่ะค่ะ หมดแรงข้าวต้มเลย ตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ ไม่ปงไม่ไปมันแล้วโว้ยค่ะ



เราก็ย้อนกลับออกมาทางเดิม ระยะทาง 5-6 กิโลเมตรได้ค่ะ แต่เป็น 5-6 กิโลเมตรที่ยาวนานและทรมานเหลือเกิน เพราะคุณแม่ก็ต้องลงเดินอยู่หลายจุด เพราะถ้าหากซ้อนท้ายปาป๊าก็จะกระเทือนถึงตัวเล็กในครรภ์ได้ ขอเดินดีกว่า เหนื่อยหน่อย แต่ไม่กระทบกระเทือนค่ะ เหนื่อยก็หยุดนั่งพักหายใจลึกๆ

สุดท้าย เรากลับออกมาที่บ้านบ่อต้นสัก ปาป๊าเข้าไปคุยงานในหมู่บ้านกับชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าเมี่ยน อพยพมาพึ่งแผ่นดินไทยกันมานานหลายสิบปีแล้ว คุณแม่ก็เลยเดินถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยค่ะ



คราวนี้ได้เวลากลับเข้าเมืองแพร่กันบ้าง มาถึงเมืองแพร่แล้วก็ต้องไปไหว้พระธาตุช่อแฮ พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองคนแพร่ เพื่อให้เป็นสิริมงคลต่อชีวิต และขอให้พวกเราเดินทางไปทำงานต่ออย่างปลอดภัยค่ะ

ณ จุดนี้... คนท้องก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปนะคะ ค่อยๆ เดินค่ะ ไม่ต้องรีบ เดินๆ หยุดๆ พักๆ เพื่อความปลอดภัยของน้องภูพิงค์ในพุงคุณแม่ค่ะ



ไหว้พระธาตุช่อแฮกันแล้ว ก็ไปอีกที่หนึ่งก็คือ วัดพระธาตุจอมแจ้งค่ะ อยู่ไม่ไกลจากวัดพระธาตุช่อแฮเท่าไหร่



หลังจากเข้าเมืองไหว้พระกันแล้ว จุดหมายต่อไปเป็น หมู่บ้านชาวไทยใหญ่ อ.วังชิ้นค่ะ เป็นอำเภอที่ไม่เคยไปเลย งานนี้คุณแม่ได้แต่ถามมือถืออย่างเดียวค่ะ มือถือบอกให้ไปทางไหนก็ขับรถไปทางนั้น หลงทางกันเป็นว่าเล่นเลย ทำให้เสียเวลาไปมากเลยทีเดียว เนื่องจาก google มักจะบอกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด แต่มันไม่ได้บอกว่าลักษณะทางเป็นยังไง

ปาป๊าพาคุณแม่กับน้องภูพิงค์ขับรถเข้าไปในทาง local road ที่แคบลงๆ จนในที่สุดกลายเป็นสวนของชาวบ้าน ที่เป็นทางลูกรังและรถขับสวนกันไม่ได้เลย รอบข้างไม่มีบ้านคนสักหลัง มีแต่ป่าและสวนผลไม้

ยังค่ะ.... พวกเรายังไม่สำนึกกันว่าควรจะเลี้ยวรถกลับ เพราะดูจากแผนที่แล้ว เหลืออีกไม่กี่กิโลก็จะถึงหมู่บ้านชาวไทยใหญ่แล้ว เราก็ยังดั้นด้นไปกันต่อ ณ จุดนี้คุณแม่ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ เพราะเส้นทางทุลักทุเลมาก ไม่มีกะใจจะหยิบกล้องถ่ายรูปเลย ไหนจะต้องคอยพะวงกับความปลอดภัยของเด็กในพุงอีก


เรายังดันทุรังขับรถไปต่อบนทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงเป็นหินใหญ่ หลุมลึก คุณแม่กับปาป๊าช่วยกันหยิบหินมาถมทางให้เรียบที่สุด ช่วยกันลากไม้ข้างทางมารองถนนเพื่อให้รถไปได้ บางช่วงเจอคอสะพานดินที่แคบ และเป็นเหว พร้อมที่จะทรุดตลอดเวลา........ ณ ตอนนั้นแม่อยากร้องไห้มาก ไม่รู้ว่ามาทำไมที่นี่ แต่งานก็คืองาน ต้องทำให้เสร็จ


สุดท้ายเมื่อเราพ้นจากทางนรกนี้ได้ เรากลับไปต่อไม่ได้ค่ะ ทั้งๆ ที่ดูจากแผนที่แล้ว อีกแค่ 200-300 เมตรเราจะออกถนนใหญ่ แต่เรากลับไปเจอทางดินที่เพิ่งถูกฝนถล่ม เป็นหลุมลึก รถของปาป๊าไปไม่ได้ และโชคดีที่เจอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พวกเขาทุกคืนก็ยืนยันว่าทางลึกขนาดนี้รถไปไม่ได้แน่นอน ยังไงก็ต้องย้อนกลับทางเดิม (ขุ่นพระ!!! ยกมือทาบอก อกอิแม่จะแตก ทางนรกนั่นหรือที่เราจะต้องพาภูพิงค์กลับไปอีก)

ค่ะพี่น้อง....... เราต้องย้อนกลับไปตามทางเดิมอย่างเสียไม่ได้ และต้องผ่านจุดที่เป็นสะพานดินแคบๆ อีกครั้ง รถของปาป๊าก็คันใหญ่ สะพานก็แคบ ลื่น และขนาดพอดีกับตัวรถเหลือเกิน ในตอนนั้นถ้าพลาดแม้แต่เสี้ยวเดียว รถของปาป๊าได้ลงไปจมอยู่ข้างทางอย่างแน่นอน ในตอนนี้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว นึกขอบคุณคุณพระคุณเจ้า ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขา ที่ทำให้พวกเราทั้ง 3 คนพ่อแม่ลูกได้กลับออกไปอย่างปลอดภัยจริงๆ


กว่าจะผ่านทางหฤโหดนี้ไปได้ ก็ใช้เวลานานทีเดียว เพราะปาป๊าต้องค่อยๆ หยอดหลุมไปทีละหลุม เพื่อให้ภูพิงค์กระทบกระเทือนน้อยที่สุด สุดท้าย.... เราก็เลือกที่จะถามทางจากชาวบ้าน มากกว่าไปตาม google map ในมือถือ และทำให้เราได้ไปถึงหมู่บ้านชาวไทยใหญ่ได้อย่างปลอดภัย

(นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเชื่อ google map มากจนเกินไป)



ชาวไทยใหญ่ที่นี่อพยพย้ายถิ่นกันมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว ที่หมู่บ้านนี้มีวัดเพียงแห่งเดียวเป็นวัดในแบบพม่า มีพระสงฆ์อยู่เพียงรูปเดียว ในระหว่างที่ปาป๊าทำงานอยู่นั้น คุณแม่ก็เข้าไปกราบพระในวัด และเดินถ่ายรูปในหมู่บ้านเรื่อยๆ ซึ่งบ้านเรือนของพี่น้องชาวไทยใหญ่ที่นี่ก็จะเป็นแบบปัจจุบันทั่วไปตามบ้านในภาคเหนือค่ะ



เสร็จภารกิจจากหมู่บ้านชาวไทยใหญ่ที่ อ.วังชิ้น พวกเราทั้ง 3 คนก็มุ่งหน้าขับรถกลับกรุงเทพกันเลยด้วยความเหนื่อยเพลีย เป็นการจบทริปที่แสนยาวนานและแสนโหดของน้องภูพิงค์ในวัย 7 สัปดาห์เศษๆ ได้อย่างสวยงามและเหนื่อยอ่อนค่ะ



## 12 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ##


เป็นช่วงเวลาที่น้องภูพิงค์ถูก freeze อยู่กับที่ค่ะ เนื่องจากเกิดเหตุฉุกเฉินเพราะคุณแม่เกิดภาวะแท้งคุกคาม


เหตุเกิดจากในวันนั้น คุณย่าและหลานๆ พี่ๆ ของน้องภูพิงค์มาค้างกันที่บ้าน คุณแม่ก็จัดเต็มตั้งแต่เช้าวันเสาร์ ตื่นตี 5 ไปตลาดซื้อของมาทำกับข้าวให้คุณย่าและพี่ๆ ค่ะ คุณแม่จัดเต็มให้หลายเมนู ทั้งมือเช้าและมื้อเที่ยง บวกกับการต้องดูแลเด็กๆ ทั้งวัน ทำงานบ้านทั้งวัน ไม่ได้พักเลย เรียกว่าแทบไม่ได้นั่ง ในที่สุดคืนวันอาทิตย์ตอนที่กำลังเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่ามีเลือดออกจากช่องคลอด คุณพ่อรีบพาไปโรงพยาบาลทันทีทันใดเลย

ขอเตือนคุณแม่หลายๆ คนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นะคะ การตั้งครรภ์ไม่ควรมีเลือดออกในทุกกรณีค่ะ หากมีเลือดออก อย่ามัวมาตั้งกระทู้โพสถามในโซเชียลนะคะ ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันทีให้ไวที่สุดค่ะ


ปาป๊าส่งคุณแม่เข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมอตรวจแล้วเป็นภาวะแท้งคุกคาม แต่ตรวจปากมดลูกแล้วยังไม่เปิด เด็กยังหายใจดีอยู่ หัวใจเต้นดี (และดิ้นเก่งเหมือนเดิม) คุณหมอที่ห้องฉุกเฉินให้คุณแม่ไปตรวจกับคุณหมอสูติที่ฝากครรภ์อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น

คุณแม่ถูกฉีดยากันแท้งไป 1 เข็ม และคุณหมอสั่งให้นอนอย่างเดียว bed rest ไป 7 วันเต็มๆ ค่ะ ห้ามเดินขึ้นลงบันได ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ห้ามลุกเดินไปไหนมาไหน เน้นนอนและนั่งอยู่กับที่อย่างเดียว เคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุดค่ะ


เดือนพฤศจิกายน จึงเป็นเดือนที่น้องภูพิงค์ไม่มีทริปอะไรเลย เพราะคุณแม่ต้องพักผ่อนค่ะ

และในสัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ถึงได้คิวเจาะเลือดตรวจดาวน์ซินโดรม และทำให้ได้ทราบเพศของน้องได้เลยว่าเป็นลูกสาว สมชื่อน้องภูพิงค์ค่ะ ^__^



## 16 สัปดาห์ ในพุงคุณแม่ ##


เมื่อสาวน้อยภูพิงค์มีอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนกว่าๆ ในพุงคุณแม่ หลังจากได้พักผ่อนในเดือนพฤศจิกายนกันไปแล้ว ก็มีงานให้สาวน้อยต้องออกเดินทางอีกแล้ว งานนี้ไปไกลถึงพะเยาเลยค่ะ


ในช่วงปลายเดือนธันวาคม คุณแม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องไปทำงานแทนปาป๊าที่จังหวัดพะเยา งานนี้คุณแม่ฉายเดี๋ยวค่ะ นั่งเครื่องบินไปลงสนามบินเชียงราย แล้วให้น้องสาวของคุณแม่มารับที่สนามบิน แล้วไปทำงานต่อที่ อ.ภูซาง จ.พะเยา เลย คุณแม่ต้องไปถ่ายงานที่ภูซาง นั่งหลังรถกระบะของน้องสาวไปค่ะ พอร่างกายแข็งแรงแล้วลุยเชียวนะ

แต่... คุณแม่ก็ระมัดระวังนะคะ เวลาจะขึ้นลงรถกระบะ ซึ่งแม่ต้องนั่งหลังรถเพราะต้องถ่ายรูป คุณแม่ก็ก้าวทุกก้าวอย่างระมัดระวัง เดินไปจุดไหนก็จะดูที่พื้นก่อนว่ามีสิ่งกีดขวางหรือมีหลุมให้เราสะดุดรึเปล่า แม้จะลุยแต่ก็ต้องระวังด้วยค่ะ




ถ่ายงานเสร็จแล้ว ก็เป็นงานเที่ยวต่อเลยค่ะ เพื่อมิให้เสียเวลา ท้องแล้วก็เที่ยวได้ค่ะ เพื่อความเพลิดเพลินของตัวเล็กตัวน้อยในพุง คุณแม่จะลูบท้องบอกน้องภูพิงค์ตลอดว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ไปที่ไหน น้องจะได้รับรู้ด้วยค่ะ

น้ำตกภูซาง เขาว่ากันว่าเป็นน้ำตกอุ่น คือมีความอุ่น ไม่เย็นเหมือนน้ำตกทั่วๆ ไป แต่ไหงพอเอามือไปจุ่มน้ำแล้ว เย็นเจี๊ยบซะงั้น โลกมันเปลี่ยนไปแล้วกระมังคะ 5555








เที่ยวน้ำตกภูซางเสร็จก็พากันกลับบ้านคุณยายที่เชียงราย พักผ่อนนอนหลับ 1 คืนแล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ



## 17 สัปดาห์ ในพุงคุณแม่ ##


สัปดาห์ถัดมา ก็เป็นช่วงสิ้นปีพอดีค่ะ คราวนี้ได้หยุดยาวเที่ยวยาวแล้วจริงๆ ทริปยาวของน้องภูพิงค์รอบนี้ก็ขึ้นเหนือมาบ้านคุณยายอีกเหมือนเดิมค่ะ แต่ปาป๊านัดเที่ยวนัดเจอกับเพื่อนๆ ที่ภูชี้ฟ้ากันก่อน งานนี้น้องภูพิงค์ได้นอนเต็นท์ที่กู้ดวิว @ภูชี้ฟ้า เป็นที่พักและลานกางเต็นท์ค่ะ บรรยากาศช่วงสิ้นปีนี่ขอบอกเลยว่า หนาวโคตร ปีนี้อุณหภูมิเช้ามืดแค่ 8-9 องศาเองค่ะบนยอดดอย

ปัญหาของคนท้องก็คือ ผิวแห้งค่ะ คันพุงมาก เกาจนแทบจะถลอกออกมาได้เลย โชคดีที่เตรียมครีมทาผิวไปด้วย แต่ด้วยความที่อากาศหนาวมาก อากาศแห้งมาก ทาครีมบ่อยแค่ไหนก็ยังคันพุงค่ะ เลยพยายามเกาให้เบาที่สุด (กลัวพุงจะแตกลาย)





วิวที่นี่ขอบอกว่า ที่พักหลักร้อย แต่วิวหลักล้าน อีกแล้วค่ะ ค่าเต็นท์คิดหลังละ 500 บาท นอนได้ 2-3 คน มีเครื่องนอนให้ครบค่ะ ห้องน้ำที่นี่มีน้ำอุ่นด้วย ฟินอะไรอย่างนี้ แต่ถ้าหากนำเต็นท์ไปเองก็คิดค่าบริการคนละ 100 บาทค่ะ

ปล. ตอนกลางคืนเราสั่งหมูกระทะให้มาส่งให้ได้ด้วยนะเออ ฟินไปแปดกะโหลก

วิวดีงามมากค่ะ มีดอกไม้อยู่รอบๆ ทำให้คนท้องสดชื่น สบายอก สบายใจ ผ่อนคลายเป็นที่สุด แต่ทางที่ลดระดับกันเป็นลานกางเต็นท์แบบนี้ ก็เดินระมัดระวังและจับราวไว้ตลอดนะคะ เพื่อไม่ให้เดินสะดุดเกิดอุบัติเหตุค่ะ








ไม่ไกลจากที่พัก มีไร่สตรอเบอรี่บนภูชี้ฟ้าชื่อว่า ไร่ปางเพาะรัก อยู่ห่างจากที่พักราวๆ 10 กิโลเมตรไปทางดอยผาหม่น

สตรอเบอรี่ที่นี่ปลูกแบบไร้สารพิษ คนท้องก็ต้องการผลไม้และวิตามินซีค่ะ พอเห็นมีไร่สตรอเบอรี่วิวสวยๆ และมีขายข้างทางด้วย จึงจอดรถแวะซื้อ และแวะชมความงามของวิวไปด้วย ราคาไม่แพง และหวานอร่อยมากค่ะ เดินรับลมเย็นๆ ถ่ายรูปเล่น และเล่นกับน้องแพะที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ 2-3 วัน น้องแพะน่ารักกำลังหัดเดินค่ะ










เช้ามืดของอีกวัน ตื่นกันแต่เช้าตรู เพื่อไปเที่ยวดอยผาตั้งกัน จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยผาตั้งค่ะ ซึ่งดอยผาตั้งนี่อยู่ห่างจากภูชี้ฟ้าไปราวๆ 30 กิโลเมตร เส้นทางคดเคี้ยวบนดอยแต่ขับรถไม่ยากค่ะ เพราะทางไม่ชัน คุณแม่กับปาป๊าไปมาหลายรอบแล้วก็ยังชอบติดใจ ไปแล้วไปอีกค่ะ


ดอยผาตั้ง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย



ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมากๆ แม้ว่าคุณแม่จะมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยทันพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกสวยๆ เลยค่ะ บางทริปก็มาตอนเย็น มาดูพระอาทิตย์ตกซะงั้น ครั้งนี้แหล่ะที่จะได้เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากฝั่งประเทศลาวกะเค้าซะที

จากจุดจอดรถที่ดอยผาตั้ง หากจะขึ้นไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกับช่องผาขาดนั้น คนท้องจะต้องเดินขึ้นเนินไปนะคะ มีบันไดขึ้นไป กับทางเดินที่ไม่ชันมากนัก สบายๆ ค่ะ เดินเหนื่อยก็หยุดพักได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าเราท้องอยู่ ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวค่ะ

โชคไม่เข้าข้างคุณแม่เลยค่ะ คือฟ้าปิด มีแต่หมอกฟุ้งเต็มไปหมด โอกาสที่จะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ แทบจะเป็น 0 เลยทีเดียว ยืนรอกันจน 6 โมงกว่าๆ เกือบจะถอดใจกลับซะแล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ จนสุดท้ายพระอาทิตย์ก็โผล่มาให้เห็นแค่เพียง 2-3 นาที เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ถ่ายรูปค่ะ และทะเลหมอกที่ได้เห็นแค่เพียงจางๆ ก่อนที่พระอาทิตย์จะลอยสูงส่องแสงจ้า จนหมอกทั้งหมดเลือนหายไป






อยู่ดอยผาตั้งกันไม่นาน หลังจากรองท้องด้วยหมั่นโถวร้อนๆ จากร้านค้าแถวที่จอดรถแล้ว ก็กลับภูชี้ฟ้ากันค่ะ ระหว่างทางเห็นวิวสวย มีหมอกไหลลงมาจากยอดดอย ก็เลยจอดรถแวะถ่ายรูปซะหน่อย






อันที่จริง ที่ภูชี้ฟ้ายังมีภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ภูฟ้าไทย ให้ขึ้นไปชมทะเลหมอกกันด้วยนะคะ แต่หนทางนั้นเรียกว่า คนท้องไม่สามารถค่ะ เพราะทางชัน ต้องนั่งรถโฟร์วิลของชาวบ้านที่ชำนาญเส้นทางขึ้นไป งานนี้เลยให้ปาป๊าไปกับเพื่อนๆ ค่ะ ส่วนคุณแม่ขอนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ อยู่ในเต็นท์ดีกว่า



## 19 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ##



ปาป๊ากับคุณแม่มีทริปไปพิษณุโลกอีกแล้วค่ะ งานนี้น้องภูพิงค์นั่งรถออกจากบ้านตอนกลางคืน ไปถึงพิษณุโลกเช้ามืดพอดี ปาป๊าขับรถช้ามากค่ะ เน้นความปลอดภัยไว้ก่อน เหนื่อยก็พักตามปั๊มแวะหลับค่ะ จากพิษณุโลก ก็ขับรถต่อไปยังอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จุดหมายปลายทางคือจะไปชมทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลค่ะ



เราจอดรถที่หมู่บ้านร่องกล้า เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่จัดคิวและจัดรถบริการที่จะขึ้นไปภูลมโลให้ ทีแรกคุณแม่ก็กะว่าจะให้ปาป๊าไปคนเดียว เพราะกลัวเส้นทางไปยังบนภูลมโลจะไม่ดีเท่าไหร่นัก กลัวกระทบกระเทือนเด็กในพุงค่ะ แต่แบบว่า.... มันอยากไปอ่ะค่ะ 555 เลยบอกเจ้าหน้าที่ว่า เราท้องเกือบ 5 เดือนแล้ว ขึ้นไปได้ไหม ทางดีไหม

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไปได้ เดี๋ยวจัดรถคันที่ใหม่ๆ ให้แล้วนั่งไปด้านหน้ากับคนขับเลย จะได้นั่งสบายไม่กระเทือนมากเหมือนนั่งกระบะหลัง พร้อมทั้งกำชับกับพี่คนขับว่าให้ขับหยอดหลุมไปเบาๆ ระมัดระวัง

เย้ ลุยเลยค่ะ













จากภูลมโล อยากไปดูใบเมเปิ้ลแดงที่น้ำตกหมันแดงมาก ปาป๊าก็ขับรถไปไม่ไกล ถามจากเจ้าหน้าที่ตรงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ น้ำตกหมันแดงแล้ว เขาบอกว่ามีต้นที่ใบแดงอยู่ต้นเดียวอยู่ด้านหลังหน่วย เดินไปไม่ไกล

โอเคค่ะ คุณแม่จะพาภูพิงค์เข้าป่าอีกแล้ว เดินระวังๆ นะคะ

ต้นนี้ แดงอยู่ต้นเดียว อยู่ในป่าด้านหลังหน่วยฯ ไม่ไกลเลย ราวๆ 30-50 เมตรได้ค่ะ






สิ่งสำคัญนอกเหนือจากความปลอดภัยในการเดินไปตามจุดต่างๆ แล้ว คนท้องเมื่อถึงเวลากินต้องได้กินนะคะ เช้า กลางวัน เย็น ต้องทานให้ครบมื้อและทานแต่ของมีประโยชน์ค่ะ ระหว่างเดินทางคุณแม่จะคอยบอกให้ปาป๊าแวะปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายผ่อนคลาย และซื้อนมดื่มตลอดทางค่ะ ยังไงก็ต้องห่วงสุขภาพของตัวเล็กในพุงด้วยค่ะ

จบทริปภูลมโลไปแบบฟินๆ ค่ะ



## 27 สัปดาห์ ในพุงคุณแม่ ##


ช่วงต้นเดือนมีนาคม มีธุระต้องไปเชียงรายอีกแล้ว หลังจากทำธุระเสร็จ ก็เลยไปเที่ยวที่ไร่สิงห์ปาร์คกันอีกแล้ว เพราะคราวนี้อยากเห็นว่า ถ้าไปช่วงหน้าร้อน บรรยากาศที่นั่นจะเป็นอย่างไร

หน้าร้อนเป็นฤดูแห่งดอกไม้สีเหลือง ที่ไร่สิงห์ปาร์คแห่งนี้มีดอกเหลืองปรีดียาธรบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ สวยงามมากๆ เลยค่ะ คนท้องเดินถ่ายรูปเพลินมากๆ สบายตาสบายใจมากค่ะ








## 31 สัปดาห์ ในพุงคุณแม่ ##

คุณแม่มีทริปด่วนต้องไปเชียงราย ไปทำงานกับปาป๊าค่ะ งานนี้น้องภูพิงค์ก็ต้องไปเป็นกำลังใจให้ปาป๊าด้วยเช่นกัน ทางทีมงานจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ค่อยยังชั่วหน่อยค่ะที่น้องภูพิงค์ไม่ต้องนั่งรถไปนานๆ ปาป๊าก็ไม่เหนื่อยขับรถด้วย


สำหรับครั้งนี้เดินทางโดยสายการบินนกแอร์ ซึ่งอายุครรภ์คุณแม่ก็ 31 สัปดาห์แล้ว จะต้องใช้ใบรับรองแพทย์นะคะ โดยใบรับรองแพทย์ต้องออกให้ก่อนเดินทางไม่เกิน 7 วัน และในใบรับรองแพทย์จะต้องระบุว่า "สามารถเดินทางโดยสารการบินได้" พร้อมทั้งระบุอายุครรภ์ ณ วันที่เดินทางด้วยค่ะ ถ้าไม่ระบุแบบนี้ก็มีสิทธิ์อดเดินทางได้ค่ะ


น้องภูพิงค์มาเป็นกำลังใจให้ปาป๊าทำงานที่แม่สายค่ะ ที่นี่เป็นโรงงานทำกระดาษสา ชื่อว่า จินนาลักษณ์ เป็นโฮมสเตย์ด้วย และมีร้านกาแฟด้วยค่ะ ระหว่างปาป๊าทำงาน คุณแม่ก็นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ ดมกลิ่นหอมๆ ของกาแฟวนไปค่ะ



หลังจากทำงานที่โรงงานทำกระดาษสาเสร็จ ก็ไปดูเขาทำเทียนกันต่อที่โรงงานผลิตเทียนค่ะ งานนี้คุณแม่ก็ไปชมอย่างใกล้ชิดเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเขาทำกันยังไงบ้าง ก็เพลินดีค่ะ



ส่วนเช้าอีกวัน ปาป๊าต้องไปถ่ายงานที่อื่นใน อ.แม่สายต่อ คุณแม่ก็เลยนอนแผ่พุงรออยู่ที่รีสอร์ทค่ะ ระหว่างรอปาป๊าก็เดินเล่นไปในรีสอร์ท เพลินดีเหมือนกันค่ะ แต่เนื่องจากเป็นวันทำงาน เลยไม่ค่อยมีแขกมาพักเท่าไหร่ค่ะ ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์จะคนเยอะหน่อย



หลังจากเสร็จงาน เช็คเอาท์ออกจากที่พักเสร็จ ก็ได้เวลาช็อปปิ้งค่ะ ไปถึงแม่สาย ก็ต้องไปช็อปที่ตลาดแม่สายค่ะ แต่เราไม่ได้ข้ามไปฝั่งพม่า เพราะมีเวลาแค่ครึ่งวันก่อนเดินทางกลับ กทม. ก็เลยเดินช็อปที่ตลาดแม่สายก็พอ งานนี้คุณแม่ซื้อแค่ผ้าขนหนูเช็ดมือมาโหลนึง แล้วก้อซื้อเสื้อเด็กอ่อนแบบผูกหน้าให้น้องภูพิงค์อีกโหลนึงค่ะ โหลละ 380 เท่านั้นเอง ตกตัวละ 32 บาท ถูกตังและถูกใจคุณแม่มาก เนื้อผ้าก็ไม่ได้ขี้เหร่เลยค่ะ ประหยัดไปได้เยอะ



## 32 สัปดาห์ ในพุงคุณแม่ ##


คราวนี้ต้องเดินทางไกลอีกแล้วค่ะ เป็นช่วงหยุดยาวสงกรานต์ที่พวกเราจะต้องไปเชียงราย และไปรับคุณยายมาอยู่ด้วยที่บ้านของน้องภูพิงค์ เพื่อรอน้องภูพิงค์คลอดค่ะ คุณแม่ก็ท้องแก่แล้วด้วย เดินทางไกลแบบนี้ ต้องหยุดพักรถและพักคนท้องทุกๆ 2 ชั่วโมงนะคะ เสบียง นม ขนม ต้องพร้อมตลอดบนรถค่ะ และที่สำคัญเลยต้องพกสมุดสีชมพูที่เป็นสมุดฝากครรภ์ไปด้วยทุกที่ค่ะ


ปาป๊าก็กัวว่าอยู่แต่ที่บ้านยาย ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เดี๋ยวคนท้องจะเบื่อ ก็เลยชวนคุณแม่ออกไปเที่ยวไร่องุ่นที่ อ.เมือง ชื่อว่า ไร่องุ่นอิงจันทราค่ะ ที่นี่เป็นไร่องุ่น และมีร้านกาแฟให้นั่งด้วย มีเครื่องดื่มและขนมมากมายเลย บรรยากาศดีมากๆ เลยค่ะเพราะรอบข้างเป็นทุ่งนาสีเขียวสบายตาเลย



คนท้องต้องบำรุงหน่อยค่ะ จานนี้ขอบอกว่าอร่อยมากๆ จำชื่อเมนูไม่ได้แล้ว 555+



องุ่นที่นี่พวงใหญ่สวยงามมากมาย



คุณแม่น้องภูพิงค์เองค่ะ ดูไม่ออกเลยใช่มั้ยคะว่าในพุงนั้นมีเด็กน้อยอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ เนื่องจากคุณแม่เป็นคนผอมและสูงนั่นเองค่ะ แถมไม่ได้อ้วนขึ้นเลย

คนท้องได้เที่ยวแบบนี้ รู้สึกผ่อนคลาย เบิกบานจิตใจมากค่ะ คุณแม่คนไหนที่ท้องอยู่ก็สามารถไปเที่ยวได้นะคะ อย่ามัวแต่นอนอุดอู้อยู่ในบ้านค่ะ ตัวเล็กในครรภ์จะได้เบิกบานจิตใจแจ่มใสเหมือนคุณแม่ไปด้วย ^__^




## 34 สัปดาห์กว่าๆ ในพุงคุณแม่ ##


ช่วงปลายเดือนเมษายน คุณแม่ก็กลัวว่าคุณยายจะเหงา ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองที่ไม่คุ้นเคย ทั้งสภาพอากาศ อาหารการกิน ผู้คน คุณแม่ก็เลยพาคุณยายไปไหว้พระที่วัดหงส์ทอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

วัดหงส์ทอง เป็นวัดที่สร้างอยู่ในทะเล ลมพัดเย็นสบายมากเลยค่ะ พอได้ไหว้พระทำบุญ คุณยายก็ดูสดชื่นขึ้น ได้เปิดหูเปิดตา ก่อนที่น้องภูพิงค์จะคลอดแล้วคุณยายต้องวุ่นวายเลี้ยงหลานยาวไปเลยค่ะ ^__^



การเดินทางของน้องภูพิงค์ เด็กหญิงตัวน้อยๆ ในพุงคุณแม่ ตอนนี้เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 37 กว่าๆ ของการตั้งครรภ์แล้ว คุณแม่ยังคงขับรถมาทำงานอยู่ค่ะ แล้วก็แพลนจะลาคลอดในวันที่ครบ 38 สัปดาห์พอดี


ช่วงที่เริ่มตั้งครรภ์ จนถึงตอนนี้ คุณแม่เดินทางไม่ได้หยุดเลยค่ะ หลายคนกังวลว่าท้องแล้วจะไปนั่นไปนี่ไม่ได้ เดินทางไปนั่นไปนี่ไม่ดี แต่คุณแม่ก็ไปมันซะทุกที่เลย แถมเป็นการเดินทางไกลทั้งนั้นด้วยค่ะ น้องภูพิงค์ก็ยังแข็งแรงดี ยังดิ้นเก่งตั้งแต่สัปดาห์ที่ 18 จนถึงตอนนี้เลยค่ะ เพราะน้องภูพิงค์เกิดมาเป็นลูกสาวของนักเดินทางสายลุย ก็ต้องลุยไปกับปาป๊าและคุณแม่ค่ะ


สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายต้องระวัง และเตรียมตัว เมื่อต้องเดินทางก็คือ

1. สมุดฝากครรภ์ของเรา ต้องนำติดตัวไปด้วยทุกครั้งค่ะ

2. เสบียง อาหาร ขนม นม ของบำรุง ต้องมีติดตัวเตรียมพร้อมทุกทริปค่ะ

3. ความระมัดระวังในการขับรถ การเดิน ควรดูพื้นที่จะเดินว่ามีอะไรที่จะทำให้เราเดินสะดุดหรือหกล้มไหม หรือตอนจะขึ้นลงรถก็ต้องระวังขณะจะก้าวด้วยค่ะ

4. เดินขึ้นลงบันไดต้องจับราวทุกครั้งค่ะ

5. ของใช้ส่วนตัวคุณแม่ เช่น พวกครีมทาผิว ก็ต้องมีติดกระเป๋าไปด้วยค่ะ

6. กล้องถ่ายรูปค่ะ แหม... ไปเที่ยวทั้งที ต้องเซลฟี่คู่กับเด็กในพุงด้วยสิคะ ^__^

คุณแม่น้องภูพิงค์คอนเฟิร์มค่ะ ท้องก็เที่ยวได้ ขอแค่ระมัดระวังตัวเองในทุกๆ เรื่องและทุกฝีก้าว แค่นี้ก็เที่ยวได้อย่างสุขกายสบายใจ ไร้กังวลแล้วล่ะค่ะ


ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามบันทึกการเดินทางของน้องภูพิงค์ ตั้งแต่อายุครรภ์ 1 เดือนจนถึง 9 เดือนในวันนี้และพบกันใหม่ในบันทึกฉบับหน้า เมื่อหนูน้อยภูพิงค์ลืมตามาดูโลกแล้วนะคะ



My Phuphing

 วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.15 น.

ความคิดเห็น