ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเดินทาง 10 วันในแคว้น Ladakh ของผมครับ จริงๆที่แห่งนี้อยู่ใน Bucket list ของผมมาตั้งแต่สมัยยังเรียนม.ปลาย (ประมาณปี 2550) ที่ได้เห็นบรรดาช่างภาพ Pixpros รุ่นบุกเบิกบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกเหนือเมือง Leh มาให้บรรดาสมาชิกในเวปบอร์ดได้ชมกัน Ladakh จึงเป็นเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาช่างภาพสาย Landscape ที่จะต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตครับ


ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักแคว้น Ladakh กันซักนิดนึงก่อน

Ladakh แปลว่า "land of high passes" เป็นแคว้นๆหนึ่งในรัฐ Kashmir and Jammu ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งมีอาณาเขตด้านขวาติดกับธิเบต/จีน ทางซ้ายติดกับปากีสถานครับ โดย Ladakh นั้นเป็นแคว้นที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่สุดในรัฐ Kashmir and Jammu ซึ่งในบริเวณนี้จะถูกเรียกว่า "Trans-Himalaya" หรือก็คือบริเวณเทือกเขาที่อยู่ขนานกับเทือกเขา Great Himalaya ครับ โดย Ladakh นั้นเป็นบริเวณที่ที่เทือกเขา Kunlun, Karakorum และ Himalayan วิ่งเข้ามาบรรจบกัน ทำให้บริเวณนั้นเต็มไปด้วยเทือกเขาสูงครับ

เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น Ladakh ก็คือ Leh นั่งเอง และเป็นที่ตั้งของสนามบิน Leh ประตูสู่ Land of high passes


:::::::::::::: คำเตือน ::::::::::::::

Ladakh นั้นนับว่าเป็นเขตทุรกันดารก็ได้ครับ เนื่องจากในหน้าหนาวบริเวณนี้จะถูกหิมะหนาปกคลุม ทำให้บรรดาถนนหนทางจะพังทลาย และถูกเร่งซ่อมแซมในฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเมษายน) บวกกับเส้นทางบริเวณจะลัดเลาะผ่านเทือกเขาสูง ทำให้การพัฒนาของเมืองบริเวณนี้ทำได้ยากมากครับ

คนที่คิดจะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ในระดับนึงครับ โดยผมได้สรุปข้อควรระวังในการเที่ยวบริเวณนี้ไว้คร่าวๆดังนี้ครับ

Ladakh Travel Tip

1. ห้องน้ำ เป็นเรื่องหลักที่ต้องเตรียมใจสำหรับที่นี่ (และที่อื่นๆในอินเดีย) คือส้วมสาธารณะครับ นอกจากในโรงแรมและร้านอาหารดีๆในเมืองแล้ว ส้วมที่เหลือเรียกว่า "หลุม" จะตรงกว่า ถ้าโชคดีหน่อยก็จะเป็นหลุมเรียบๆ โชคร้ายมันก็จะมีอารยธรรมเดิมกระจัดกระจายไปด้วย เดินทางในแคว้น Ladakh ดีที่สุดอย่าปล่อยระหว่างทางครับ ต้องระวังเรื่องการกินอาหารดีๆ เนื่องเราต้องเดินทางบนรถวันละหลายชม. การท้องเสียที่นี่คือฝันร้ายครับ

2. ถนน การนั่งรถในที่นี่นอกจากไฮเวย์นอกเมือง Leh แล้ว เส้นไป Pangong Lake หรือ Nubra Valley จะผ่านจุดที่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อแบบนั่งไม่ติดอยู่เป็นชั่วโมง มีตั้งแต่สั่นน้อยๆให้พอสะดุ้งตื่นบ้าง จนสั่งแบบต้องเกร็งตัวยึดกับเบาะ คนเมารถง่ายจะทรมานมากเพราะจะโยกแบบนี้ทุกๆเส้นและระยะทางยาวมาก รวมถึงจะมีถนนเส้นที่ไต่ขึ้นและโค้งหักศอกอีกด้วย การกินยาแก้เมาให้หลับก็ช่วยได้ส่วนหนึ่งแต่การท่องเที่ยวใน Ladakh วิวข้างทางเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดครับ

3. แดด แดดที่นี่แรงมาก เราไปในช่วงต้นพ.ค.อากาศเย็นๆประมาณ 15-20 องศา แต่แดดที่นี่แรงจนทำให้รู้สึกร้อนได้ ที่สำคัญคือแถบนี้ร่มเงาน้อยมาก บ้านเมืองไม่ค่อยมีกันสาด และต้นไม้สูงๆน้อยเนื่องจากเป็นทะเลทรายซะส่วนใหญ่ การไปเที่ยวรอบๆแคว้นนี้ไม่ว่าอากาศจะเย็นหรือร้อนแค่ไหน เสื้อแขนยาวและหมวกเป็นสิ่งจำเป็น นั่งในรถขากับแขนยังไงก็หนีแดดไม่พ้นครับ

4. ฝุ่น เนื่องจากเป็นทะเลทราย ฝุ่นจะซัดเข้าเมืองตลอดเวลา และรถที่นั่งจะไม่เปิดแอร์แต่จะเปิดกระจกให้ลมเข้าระบายความร้อนแทน บางครั้งถ้าเราขับตามรถใหญ่ๆ มันก็จะตีฝุ่นเข้ามาในรถ ควรเตรียมผ้าปิดปากหรือผ้าพันคอไปด้วย ที่พักเองก็ไม่ติดแอร์เช่นกัน เราต้องเปิดหน้าต่างนอนตลอดทริป แต่ด้วยช่วงที่เราไปอากาศเย็น เลยไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ครับ

5. อาหาร ในตัวเมือง Leh หาข้าวกินไม่ยากเพราะร้านอาหารเยอะและขายอาหารนานาชาติทั้งไทย จีน ฝรั่ง อินเดีย แต่การเดินทางไปเที่ยวที่ไกลๆอย่าง Pangong Lake, Nubra Valley, Tso Moriri นั้นเราจะต้องหาข้าวเที่ยงกินระหว่างทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารมังสวิรัติ และมีให้เลือกไม่มาก เช่น Fried Rice, Maggi(บะหมี่) บางร้านก็จะไม่ค่อยสะอาดครับ ควรพกทิชชู่ไปเช็ดช้อนส้อม น้ำดื่มบางที่ก็จะเสิร์ฟน้ำจากลำธารซึ่งละลายมาจาก Glacier ซึ่งก็สะอาดแหละ แต่ถ้าไม่มั่นใจก็สั่ง Bottle of Water จะเซฟกว่า การเตรียมข้าวเที่ยงไปทานเองเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย ร้านอาหารบางร้านจะทำอาหาร Take away ให้เราได้ หรือจะซื้อเป็นพวกขนมปัง และแยมไปก็ได้ เนื้อสัตว์หาซื้อยากมาก ส่วนมื้อเย็นและมื้อเช้าที่พักส่วนใหญ่จะมีให้อยู่แล้ว แต่ก็มีโอกาสเจอแป้งนันกับผัดผักแปลกๆเหมือนกัน คนที่กินยากควรเตรียมมาม่าไปเผื่อครับ และแนะนำให้เอา Energy Bar ไปด้วยเยอะๆ ในกรณีที่หมดแรงจริงๆ รวมถึงเกลือแร่ในกรณีท้องเสียด้วยครับ

6. Altitude Sickness เป็นอาการที่พบในนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในพื้นที่ๆสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการเปลี่ยนระดับความสูงเฉียบพลัน ในกรณีของ Ladakh คือการนั่งเครื่องบินจากเดลี หรือเมืองอื่นๆด้านล่าง ไปลงที่สนามบิน Leh เลย เพราะว่าตัวเมืองนั้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,500 เมตรครับ ซึ่งระดับความสูงที่คนทั่วไปรับได้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 เมตร (ประมาณยอดดอยอินทนนท์) อาการนี้เกิดจากร่างกายปรับตัวกับระดับออกซิเจนที่เบาบางลงไม่ทัน ซึ่งอาการที่จะเกิดเหมือนกันทุกคนคือเหนื่อยง่ายครับ ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ยิ่งเหนื่อยง่ายเท่านั้น เดินปกติจะไม่รู้สึก แต่เวลาเราวิ่ง ขึ้นบันได กระโดด หรือทำอะไรที่ต้องใช้ปอดและหัวใจเยอะๆ จะเกิดอาการหอบ และหน้ามืดได้ง่ายครับ แต่สำหรับบางคน (เน้นว่าบางคนนะครับ) จะปรับตัวได้ไม่ดีเท่าคนอื่น จะเกิดอาการรุนแรงกว่าปกติครับ รวมถึงการปวดหัวรุนแรง นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง ซึ่งอาการจะเบาลงเมื่อร่างกายปรับตัวได้ครับ (ควรจะพักอยู่ในเมืองสัก 2-3 วัน) แต่ถ้าเวลาผ่านไปยังไม่เบาลงก็ควรจะเดินทางลงไประดับความสูงที่ต่ำลงถ้ายังฝืนเดินทางต่อก็อาจจะเสียชีวิตได้ครับ

เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะมีอาการแบบนี้บ้างครับ แต่เราสามารถป้องกันได้เบื้องต้นนั่นคือในวันที่เราถึง Leh วันแรก ให้พักผ่อนให้เต็มที่ครับ ให้เวลาร่างกายได้ปรับตัว ห้ามออกไปนอก Leh เนื่องจากระดับความสูงจะเปลี่ยน ห้ามออกแรงเยอะ พยายามนอนพักผ่อนเป็นหลักครับ นอกจากนี้เรายังสามารถไปซื้อยาแก้แพ้ความสูง Acetazolamide (diamox) มาป้องกันได้ครับ แต่ต้องทานอย่างระมัดระวังตาม Dose ที่กำหนด และตัวยาเองจะมีผลข้างเคียงเรื่องของอาการชาที่ปลายนิ้ว ประสาทรับรสชาดเปลี่ยน หิวน้ำ ฉี่บ่อย เป็นต้นครับ กลุ่มผมที่ไปก็ใช้วิธีเว้นวันพักไว้ครึ่งวันตอนไปถึง และแพลนเที่ยววันแรกรอบๆ Leh ครับ เพื่อปรับตัว และทานยา Diamox ตามที่หมอแนะนำครับ

ระดับความสูงของที่เที่ยวในเลห์

- Leh 3,500 m

- Pangong Lake 4,300 m แต่ผ่าน Chang la Pass ที่สูง 5,300 m

- Nubra Valley 3,000 m แต่ผ่าน Khardungla Pass ที่สูง 5,300 m (แต่เคลมว่าสูง 5,600 m)

- Tso Moriri 4,500 m

เทียบกับภูเขาที่สูงที่สุดในไทย ดอยอินทนนท์ยังสูง 2,600 m เอง


::::::::: Travel Itinerary :::::::::

Day 0 : Bangkok - Bangkok - New Delhi (ถึงตี 2 )

Day 1 : New Delhi - Leh

Day 2 : Outside Leh City : Lamayuru Route

Day 3-4 : Leh - Pangong Lake - Leh

Day 5-6 : Leh - Nubra Valley - Leh

Day 7-8 : Leh - Tso Moriri - Leh

Day 9 : Inside Leh

Day 10 : Leh - New Delhi - Bangkok

กลุ่มของเราเดินทางไป Ladakh ในช่วงอาทิตย์ที่สองของเดือนกรกฎาคมครับ ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิต Ladakh นั้นจะเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยวตั้งแต่กลางๆเมษายนเป็นต้นไปครับ เนื่องจากก่อนหน้านั้นหิมะยังปกคลุมเมืองอยู่ แม้กระทั่งในเดือนเมษายนเอง ถนนหลายๆเส้นก็ยังไม่สามารถเข้าได้ อาจจะเจอพายุหิมะ และหิมะถล่มปิดทางเป็นพักๆครับ Ladakh จะมีช่วง Peak ในช่วงกลางฤดูใบไม้พลินั้นจะเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ และในฤดูใบไม้ร่วงจะมีใบไม้เปลี่ยนสีครับ


::::::::: Budget :::::::::

ค่าใช้จ่ายในทริปนี้เบ็ดเสร็จประมาณ 37,000 บาทนะครับ รวมทุกสิ่งอย่างแล้ว ซึ่งเป็นค่าเครื่องบินไปซะ 20,000 บาทครับ

● Flight 20,000 THB ●

เส้นกรุงเทพ - New Delhi เราไปกับการบินไทยครับ

New Delhi - Leh เราไปกับ Go Airline โดยไฟลท์นี้จะพาเราไปถึงที่สนามบิน Leh ตอนเที่ยงตรงพอดีครับ

ราคากลางของสายการบินจากกรุงเทพไป Leh จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทครับ ซึ่งถ้ามือไวๆก็จะสามารถหาตั๋วราคาถูกลงไปได้ถึง 7-8 พันบาทเลย ขณะเดียวกันราคาก็สามารถพุ่งสูงไปได้ถึงสามหมื่นบาทเช่นกันครับ ซึ่งที่ต้องระวังคือการเดินทางโดยสายการบิน Low Cost ของอินเดีย บางสายการบินจะสภาพแวดล้อมไม่ค่อยดี อัดแน่นไปด้วยคนอินเดียที่ขนของไปขายครับ ต้องเชคดีๆ ในส่วนของ Go Air ที่ผมใช้บริการนั้นสภาพโอเคเลยครับ เหมือน Low Cost บ้านเรา

● E-Visa 1,800 THB ●

วีซ่าท่องเที่ยวของอินเดียสามารถทำได้ 2 แบบครับ คือแบบธรรมดาเหมือนกับวีซ่าประเทศอื่นๆ ไปทำเรื่องที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าอินเดีย VFS Global ที่ PS Tower ชั้น 10 อโศก กรอกเอกสารนู่นนี่นั่น จ่ายค่าทำประมาณ 5,000 บาท และรอรับหนังสือเดินทาง 3-5 วัน กับการขอเป็น E-Visa ซึ่งใช้วิธีกรอกและแนบเอกสารผ่านเวปไซต์แทนครับ ซึ่งเราเลือกใช้วิธีนี้ครับ มีค่าใช้จ่าย 51 USD หรือประมาณ 1,800 บาท (อิงราคาตอนผมเดินทาง) เราจะทราบผลวีซ่าภายใน 72 ชม.ครับ ตอนผมวันเดียวก็ทราบผลแล้วครับ เค้าจะมีเมลล์มาแจ้งให้เราไปปริ้นเอกสารถือเข้าประเทศไปด้วย วิธีนี้จะสะดวกและถูกกว่าการไปขอที่สถานทูต แต่เราจะขอล่วงหน้าได้แค่ 30 วันเท่านั้น เข้าไม่ได้ทุกสนามบิน(มีรายชื่อบอกอยู่ และมี New Delhi) และวีซ่าที่ได้จะเป็นแบบ Single Entry ระยะเวลา 30 นับจากวันที่เข้าประเทศครับ ข้อเสียอีกอย่างคือเมื่อเราไปถึงที่อินเดียแล้ว เราจะต้องไปเข้าช่อง E-Visa ซึ่งจะมีขั้นตอนคล้ายๆกับทำ Visa On Arrival ต้องไปกรอกเอกสารและถ่ายรูป ซึ่งจะเสียเวลาพอสมควรครับ คนที่ทำวีซ่าประเภทนี้ไปควรจะเผื่อเวลาต่อเครื่องไปที่อื่นไว้เยอะๆหน่อยครับ

วิธีการขอมีคนใจดีเขียนไว้ในนี้เรียบร้อยแล้ว ขออนุญาติแชร์นะครับ https://goo.gl/Bf3tQz


● Transportation&Attraction 6,000 THB ●

เป็นค่าเดินทาง ทำ Permit และค่าเข้าที่เที่ยวในแถบ Ladakh ครับ ซึ่งหลักๆจะเป็นค่ารถ โดยการท่องเที่ยวที่นี่จะต้องใช้รถ Taxi จากเมือง Leh เป็นหลัก โดยราคาแต่ละ Route จะถูกกำหนดไว้ตายตัวยกเว้นจะเป็นเส้นทางประหลาดๆ หรือเส้นสั้นๆภายในตัวเมืองที่ Taxi จะต่อรองราคากับเรา โดยราคาถูกแพงขึ้นอยู่กับขนาดรถที่เลือก ใหญ่สุดจะเป็น Toyata Innova สำหรับ 5-6 คนครับ ซึ่งผมแนะนำให้เลือกรถให้มีที่เหลือที่ไว้ซักที่นึงครับ เพราะการเดินทางในแถบนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน และกันดารมาก การนั่งเบียดๆนี่คือความทรมานขั้นสุด โดยทั่วไปเราสามารถติดต่อที่พักให้หา Taxi ให้เราได้ครับ

คนขับรถเราทางที่พักหาให้ครับชื่อ Gambo เป็นชาวธิเบตตัวเล็กๆ แต่อึดทนทานมาก มีชีวิตอยู่รอดทุกสภาพอากาศได้ด้วยเสื้อหนาวตัวเดียว ยิ้มแย้มแจ่มใส และเหมือนจะเป็นเพื่อนกับคนขับรถและชาวบ้านเกือบทุกคนครับ เพราะเปิดกระจกทักทายคนรายทางเต็มไปหมด เวลารถคันไหนมีปัญหานี่แทบจะพุ่งเข้าไปช่วยครับ และขับรถเก่งมาก แต่ก็เสียวมากเช่นเดียวกันครับ เป็นคนขับประจำของเราที่พาเราลุยทั่ว Ladakh


● Accommodation 6,400 THB ●

ที่พักนั้นสามารถจองล่วงหน้าได้จาก Booking.com ครับ แต่จะมีให้เลือกไม่มาก และราคาจะสูงกว่า Walk-in เข้าไปเองครับ ตอนผมไปใช้วิธีติดต่อกับที่พักที่เลห์ก่อน โดยหา Contact จากคนที่เคยไปแล้วและตาม Review ทั้งจากพันทิป และพวก Trip Advisor ครับ ที่นั่นจะใช้ Whatapp ในการติดต่อเป็นหลัก และอินเตอร์เนตไม่ค่อยจะดี ดังนั้นบางทีกว่าจะคุยกันจบต้องใช้เวลาเป็นวันๆเลยครับ ส่วนที่พักที่อื่นๆใช้วิธี Walk-in ครับ เพราะที่ Lake Pangong และ Tso Moriri มีที่พักที่จองจากเว็บได้ไม่กี่ที่ ราคาสูง และบางที่จะส่งเมลล์มาบอกให้เราโอนค่าที่พักไปให้ครับ ไม่ต้องกลัวว่าที่พักจะเต็มนะครับ เนื่องจากนอกเลห์นั้น การติดต่อสื่อสารไม่ค่อยทั่วถึง เอาแค่มีไฟฟ้าใช้ให้ครบทั้งวันยังยากเลยครับ ที่พักส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีบริการจองผ่านเนต หรือบางที่ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์ ทำให้ 80% ของนักท่องเที่ยวจะต้อง Walk-in กันทั้งนั้นครับ ขนาดเราไปในช่วงพีคของเลห์ และเป็นช่วงที่คนไทยไปเยอะ และช่วงนั้นองค์ดาไลลามะกลับมาประทับที่เลห์ทำให้มีทัวน์แขกลงเต็มเมือง ที่พักแถบ Pangong Lake และ Tso Moriri ก็ยังเหลือให้เราเลือกหลายที่ครับ


นี่คือรายการที่พักที่ผมพักแต่ละคืนนะครับ

Leh City : Ladakh Villa (Call: +91-94192-18599, GPS: 34.164002, 77.581397) เราติดต่อกับเจ้าของชื่อว่า Namgyal จาก Ladakh Villa ล่วงหน้าไว้ให้เค้าเตรียมห้องไว้ให้ ราคาห้องละ 2,300 Rs/2คน/คืน เสริมเตียงได้ ที่พักใหม่ ห้องน้ำสะอาด แต่ไวไฟล่มบ่อย(เป็นแบบนี้ทั้งเมือง) ที่นี่มีชากาแฟเสิร์ฟให้ฟรีขอได้ทั้งวัน พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสและค่อยช่วยเหลือตลอด โดยเฉพาะ Namgyal ที่มาถามสารทุกข์สุขดิบกับเราตลอด ให้คำปรึกษาเรื่องเส้นทาง หารถเช่าให้ ลดราคาให้แหลกลาน และก่อนกลับยังเอาเสื้อมาให้เราเป็นของขวัญด้วย ส่วนที่พักที่อื่นๆ เรา Walk-in เอา ยกเว้น Nubra Valley ที่มีพี่ในทีมจองออนไลน์มา ราคาที่พักที่นี่ค่อนข้างมาตรฐาน อยู่ที่ประมาณห้องละ 3,500 Rs/2 คน/คืน เราพักที่นี่ทุกคืนที่นอนเลห์ครับ


Pangong Lake : Ladakh Camp and Retreat - Camp Watermark(http://www.ladakhcampsandretreats.com, Location: https://goo.gl/maps/xYTXeFjHyys) ที่นี่ผม Wak-in เข้าไปครับ เพิ่งมารู้ว่ามี Website สวยงามตอนกลับมาแล้ว(รูปในเวปดูดีกว่าของจริงนะ 55) เลือกที่นี่ด้วย Location ล้วนๆ มันอยู่ก่อนถึงตัวเมือง Spanmik และติดริมทะเลสาบครับ มีความเป็นส่วนตัวและมีที่ให้เดินเล่นหามุมถ่ายรูปเยอะครับ เราต่อรองได้ราคาเต๊นท์ละ 3,500 Rs รวมอาหารเช้าและเย็น ข้างนอกเป็นเต๊นท์แต่ข้างในเหมือนห้องโรงแรมทั่วไปครับ เตียงใหญ่และอุ่นสบาย มีห้องน้ำในตัว มีไฟฟ้าช่วงทุ่มถึงตีห้า น้ำร้อนมีให้ตอนเช้าต้องขอพนักงานเค้าจะยกถังน้ำร้อนมาให้ ไม่มีไวไฟ อาหารเย็นเป็นอาหารอินเดียมังสวิรัติแบบบุฟเฟ่ จะกินยากนิสนึง อาหารเช้ามีออมเลทกับขนมปังปิ้ง

ที่พักริม Pangogn Lake จะแบ่งเป็น 3 จุด จุดแรกเป็นจุดยอดนิยม จะค่อนข้างแออัด เป็นจุดที่ถ่ายเรื่อง 3 idiots จะมีพวก Yak ให้ถ่ายรูปด้วย และร้านอาหารมากมาย จุดที่สองจะอยู่ตรงกบางระหว่างจุดแรกกับเมือง Spangmik ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษครับ และจุดสุดท้ายซึ่งเป็นจุดที่เราพักคือเมือง Spamgmik จุดนี้จะค่อนข้างกว้าง และเงียบสงบกว่าสองจุดแรกครับ


Nubra Valley : Nubra Ecolodge (http://www.nubraecolodge.com, Location : https://goo.gl/maps/bJJbsBBh5JS2) ที่นี่เราจองผ่าน Agoda มาครับ ด้วยสาเหตุเพราะว่าไปเปิดเจอ และมันสวย 555 ราคาห้องละ 4,500 Rs รวมอาหารเช้า มีอาหารเย็นให้แต่ต้องเสียตังเพิ่ม 560 Rs ห้องดีมาก หน้าห้องวิวสวย มีแปลงปลูกผักสวนครัว หลังโรงแรมเดินออกไปดูวิวริมแม่น้ำได้ มี Sand dunes เล็กๆเดินไปได้แต่ไกลหน่อย ไวไฟมีแต่ตอนเราไปมันใช้ไม่ได้ น้ำร้อนมาเป็นพักๆ ไฟมาตอนมืดและตัดตอนสว่าง อาหารเย็นดี มาเสิร์ฟเรียงกันเป็นเซตๆ เป็นอาหารอินเดียมังสวิรัติ อาหารเช้าเป็นไข่กับขนมปัง และแป้งนัน มีขนมปังโฮมเมดและลูกแอฟริคอตสดๆให้กินด้วย ข้อเสียคือมันแยกตัวออกมาอยู่นอกเมือง Sumur ทำให้ตอนเย็นแวะไปเที่ยวไหนไม่ได้ และอยู่คนละฟากแม่น้ำกับเมือง Diskit และ Hundar ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวหลักๆจะอยู่ในสองเมืองนั้น เสียเวลาเดินทางประมาณชม.นึงครับ แต่แลกกับวิวที่ได้ก็คุ้มค่าอยู่ครับ


Tso Moriri : Hotel Lake View (Location: https://goo.gl/maps/zaifYSssr142) ที่นี่เราก็ Walk-in เช่นกัน ที่ Tso Moriri ห้องพักจะเป็นลักษณะ Guesthouse ซะเยอะ ที่ๆดูดีสุดก็จะเป็นที่นี่แหละครับ ซึ่งผมได้ราคาห้องละ 3,500 รวมอาหารเช้าและเย็น อาหารก็เป็นอาหารมาตรฐานตามโรงแรมนอกเมือง ซึ่งถ้าผ่านมาถึงที่นี่ได้ก็น่าจะชินแล้ว 55 ไฟมาตอนทุ่มปิดตอนห้าทุ่ม น้ำร้อนมาตอน 6.30-7.30 ทั้งเช้าและเย็น อาหารเย็นกับเข้าเหมือนกับที่อื่นๆ โรงแรมไม่มีไวไฟ และห้องพักชั้น 1 ถ้าเปิดหน้าต่างจะเหม็นกลิ่นแพะมาก แต่วิวดีสุดๆ ดูวิวพระอาทิตย์ริมทะเลสาบและทางช้างเผือกจากในห้องได้เลย ตอนเย็นๆจะมีฝูงแพะ Pashmina เดินผ่านเป็นร้อยๆตัวเลย


● Food&Drink 3,600 THB ●

อย่างที่กล่าวมาตอนแรก อาหารใน Leh หากินไม่ยากและร้านทั่วๆไปจะราคาปานกลาง ออกไปนอกเมือง อาหารส่วนใหญ่จะเหมารสมกับค่าที่พักอยู่แล้ว จะมีแค่มื้อเที่ยงที่เราต้องหาทานเอง ซึ่งก็มีให้เลือกไม่มาก และราคาถูกมากๆ (ตามคุณภาพ) ซึ่งกลุ่มเราก็จะมีซื้อพวกขนมปังกับพวก Nutella ไปด้วย เผื่อกินอะไรไม่ได้จริงๆก็ยังมีอะไรรองท้อง รวมถึงเราขนอาหารสำเร็จรูปบางส่วนไปจากไทยพวกมาม่า หมูแผ่น โรซ่าพร้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมากินช่วงมื้อเย็นคู่กับอาหารมังสวิรัติครับ

ร้านอาหารใน Leh ที่ผมได้แวะเวียนไปนะครับ ซึ่งจะอยู่แถวๆที่พัก Ladakh Villa :

- Gesmo Cafe : อยู่ริมถนนใหญ่ อาหารอร่อยครับ มีทั้งพื้นเมืองและอาหารฝรั่ง ร้านเดียวในเลห์ที่มีน้ำแข็ง(เท่าที่เจอ) ราคากลางๆ ไวไฟแรงถ้าคนไม่เต็มร้าน เย็นๆคนจะแน่นมาก

- Lamayuru Restaurant : อยู่ข้างๆ Gesmo Cafe คนไม่เยอะ อาหารธรรมดา ไม่ถึงขั้นอร่อย แต่ก็ไม่ได้แย่ ไวไฟช้า เหมาะเอาไว้ไปกินเวลา Gesmo Cafe เต็ม เราเคยสั่งเบอเกอร์ไก่ Take away ที่ร้านนี้ครับ

- Happy World Restaurant : จะอยู่ในซอกด้านหลังสองร้านแรก ขายอาหารอินเดียเป็นหลัก อาหารอร่อย ไวไฟแรงปานกลางถ้าคนไม่เยอะ แต่ร้านจะแคบและเก่ากว่าสองร้านแรก

- The Tibetan Kitchen : อาหารดีงามมากกก เป็น Resturant แบบจริงจังราคาจะสูงกว่าร้านอื่นๆ บรรยากาศร้านหรูหราแต่ไม่มีไวไฟ เหมาะแวะมาลองของหรูๆสักมื้อ ตำแหน่งร้านจะอยู่ในซอย หายากหน่อย แต่อยู่หน้า Ladakh Villa พอดี แนะนำ Tandori Chicken (ไก่ย่าง) ครับ อร่อยมาก และถ้าอยากลอง Mutton (แกะ) ให้มาลองที่นี่จะปลอดภัยสุดครับ รสชาดดีทีเดียว




:::::::::::: Day 0 : Arrival :::::::::::::

เราเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Thai Airway ออกเวลา 23:15 เป็นเที่ยวบินตรง จะเดินทางไปถึงสนามบิน Indira Gandhi International (DEL) ใน New Delhi เวลา 02:15 ของวันถัดไปครับ และเราจะเดินทางต่อไปยัง Leh ด้วย Go Air เวลา 08:40 ครับ โดยเวลาสำหรับผ่านตม. ย้าย Terminal และ Check-in ใช้ไปประมาณ 3 ชั่วโมง(อย่างมาก)ครับ อย่าลืมว่าต้องไป Check-in สำหรับบินไป Leh ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมงนะครับ เพราะฉะนั้นตอน 6 โมงกว่าๆเราควรจะอยู่ที่เคาเตอร์ Check-in แล้ว

เมื่อถึงสนามบิน Indira Gandhi สิ่งแรกเลยที่เราต้องทำคือ การเอา E-Visa ไปเปลี่ยนเป็นวีซ่าจริงๆ ซึ่งจะมีช่องแยกให้ตอนผ่านตม.ครับ ณ จุดนี้จะมีการถ่ายรูปด้วย ดังนั้นแต่งหน้า เติมคิ้วให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนเครื่องนะครับ จุดนี้จะรอนานกว่าการผ่านตม.ธรรมดาครับ เพราะขั้นตอนเยอะ ตอนผมรอประมาณครึ่งชม.ในสภาวะคนไม่เยอะครับ ถ้ามาช่วงที่พีคกว่านี้ก็อาจจะนานกว่านี้นะครับ

ผ่านตม.ออกมาแล้วก็ไปจุดรับกระเป๋าครับ จุดนี้รอไม่นาน เพราะเราไปรอทำวีซ่ามากระเป๋าเลยมารออยู่แล้ว ตอนนี้เราจะอยู่ที่ Terminal 3 สำหรับ International Flight และรองรับ Domestic บางสายการบินครับ สำหรับ Go Air นั้นต้องไปขึ้นที่ Terminal 1 ซึ่งจะเป็น Domestic รองรับสายการบิน Low Cost ทั้งหลาย ซึ่งจะเล็กกว่า T3 ครับ ถ้ามีเวลาต่อเครื่องนานมากๆ แนะนำให้นอนพักที่ T3 ก่อนค่อยย้ายครับ หรือถ้าย้ายเลย ให้ Check-in เข้าไปด้านในให้เร็วที่สุดครับ เพราะด้านนอกจะเล็กมาก แต่ด้านในจะมีพวกร้านอาหาร เก้าอี้เอนนอนและปลั๊กไฟอยู่ด้านใน แต่มีไม่กี่ตัวครับ ต้องแย่งชิงกันหน่อยนึง

การย้าย Terminal จะต้องนั่งรถของสนามบินครับ โดยเราต้องออกไปด้านนนอก และตามหาโต๊ะขายตั๋วครับ จะมีป้ายบอกอยู่ จนท.จะขอดู Boarding Pass และ Passport เราและจะให้ตั๋วมาครับ เวลานั่งรถข้าม Terminal ตีเผื่อๆไว้ 30 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร เพราะค่อนข้างห่างกันอยู่ครับ

บรรยากาศด้านใน Terminal 1 นะครับ เห็นอย่างงี้ ด้านนอกแน่นกว่าเยอะครับ


:::::::::::: Day 1 : Rest Day :::::::::::::

เราบินจาก New Delhi มาลงที่สนามบินเลห์ตอนประมาณสิบโมงครับ ภายในสนามบินนั้นเป็นเขตของกองทัพ จะพบทหารเดินถือปืนเต็มไปหมด ในบริเวณนี้ห้ามถ่ายรูปนะครับ มีป้ายเตือนเต็มไปหมด แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเคร่งแค่ไหน Arrival Terminal จะเล็กมากๆ ขนาดประมาณสนามบินต่างจังหวัดบ้ายเรา มีสายพาน 1 สายสั้นๆ ที่จริงๆเอากระเป๋ามาโยนกองไว้เลยอาจจะเร็วกว่าครับ ไม่มีด่านตรวจอะไรมากมาย แค่เค้าจะแจกใบ Arrival Card ให้เขียน แล้วก็ยื่นให้จนท.ก็ออกไปได้เลยครับ

ด้านนอกสนามบินจะมี Taxi จอดเต็มไปหมด แต่เราจะต้องเดินไปทางซ้อยไปคุยกับคนจัดคิวในช่องหน้าต่าง เพื่อให้เค้าเรียกรถให้ โดยพวกเราใช้ที่อยู่โรงแรมที่เจ้าของโรงแรมส่งมาให้ใน Whatapp ยื่นให้ดูครับ เพราะบอกแค่ชื่อ Ladah Viila จนท.ไม่รู้จัก จากนั้นรถ Taxi ก็จะขับมารับเราไปยังที่พักครับ

คิวรถจะอยู่ตรงหน้าต่างข้างๆร้านกาแฟสีฟ้าครับ


เมื่อถึงที่พักเราก็คุยกับ Namgyal เจ้าของที่นี่เรื่องการติดต่อหารถและรถขับ ทำ Permit สำหรับออกนอกเลฆ์ และ Route ต่างๆที่เราจะไปตลอดทริปนี้ครับ โดยแนะนำให้วันที่ 2 เที่ยวรอบๆ Leh ก่อนและค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆครับ

ในวันแรกเราพยายามไม่ทำอะไรหนักมากครับ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวกับสภาวะแรงดันอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เราจึงใช้เวลาช่วงบ่ายในการนอนพัก และช่วงเย็นก็ไปเดินดูเมืองแถวๆ Main Bazar ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักสักเท่าไหร่ครับ ซึ่งบริเวณนั้นเป็นแหล่งซื้อของฝากชั้นเยี่ยม มีตั้งแต่ตลาดนัดขายของทำมือไปยันร้านขายผ้า Kashmir หรูหรา รวมถึงมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และที่พักเต็มไปหมด มีกระทั้ง Sumsung Store (แบบไม่เป็นทางการ) ในช่วงที่เราไปนั้น องค์ดาไลลามะกลับมาเยือนบ้านเกิดของท่านที่ Diskit พอดี ทำให้นักท่องเที่ยวชาวดินเดียมากันเยอะ Main Bazar จึงคึกคักเป็นพิเศษ

เส้นทางเดินจากที่พักวนรอบ Main Bazar


ของฝากยอดนิยมอันหนึ่งของที่นี่คือเสื้อยืด ราคาตัวละ 200-300 บาท สั่งสกรีนลายได้ตามใจชอบ เเต่เกรดผ้าแต่ละร้านจะไม่เท่ากัน ต้องเลือกดีๆ


:::::::::::: Day 2 : Lamayuru Route :::::::::::::

วันนี้ตอนเช้าเราแวะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Leh Palace ก่อนครับ โดยเดินหา Taxi จากถนนหน้าที่พัก และก็ได้รถเหมาคันไปกลับราคา 500 Rs ค่ารถวิ่งที่เที่ยวในเมือง Leh นั้นจะไม่มี Rate ที่ตายตัวครับ ขึ้นกับเวลา สถานที่ และเราอยู่นานแค่ไปครับ

ตอนเช้าภายใน Palace นั้นยังไม่เปิดให้เข้านะครับ ตรงทางเข้าไม่ได้เขียนเวลาเปิดที่ชัดเจนไว้ เขียนแค่ว่าเปิด/ปิดเมื่อมีเเสง -"-

เราเก็บภาพตัวเมือง Leh จากบริเวณด้านหน้า Palace แล้วจึงกลับเข้าเมืองไปหาข้าวเช้าทานก่อนจะเริ่มเดินทางไปเที่ยวรอบนอกตัวเมืองตอนประมาณ 9 โมงเช้าครับ


Route ในวันนี้จะประกอบไปด้วยที่เที่ยวหลักๆสามแห่งคือ Likir Monastery, Alchi Monastery และ Lamayuru Monastery เรียงตามระยะห่างจากเมือง Leh ครับ แต่เราเลือกจะเดินทางไป Lamayuru Monastery ซึ่งอยู่ไกลสุดก่อน แล้วค่อยเที่ยวย้อนลงมา เผื่อว่าถ้าเที่ยวไม่ทันในหนึ่งวัน จะตัดที่ใกล้ๆเพื่อกลับมาเก็บในวันอื่นได้ครับ โดยระหว่างทางจะผ่าน Magnatic Hill และจุดที่เรียกว่า Confluence of Indus and Zanskar ที่จะเห็นแม่น้ำทั้งสองมาบรรจบกันด้วยครับ


Confluence of Indus and Zanskar จริงๆแม่น้ำจะเป็นสีฟ้าเทาสวยงามครับ แต่ผมมาช่วงที่มีน้ำหลากสีเลยเป็นดั่งที่เห็นในรูป


● Lamayuru Monastery ●

บริเวณนี้ได้รับฉายาว่า "Moon Land" เพราะสภาพภูมิประเทศที่เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนผิวของดวงจันทร์นั่นเองครับ หลังจากที่ผ่าน Moon Land ไปแล้วนั้นเราก็จะได้พบกับหนึ่งใน Monastery ที่เก่าแก่ที่สุดของ Ladakh ครับ

ทั้งบริเวณ Moon Land และตัว Monastery นั้นจะมีจุดที่ต้องปีนป่าย และบันไดเยอะพอสมควรครับ ถ้ามาในวันแรกๆให้พยายามทำอะไรช้าๆ ไม่งั้นอาจจะเป็นลมเอาง่ายๆได้ครับ พื้นที่แถบนี้แทบจะไม่มีร่มเงาให้หลบด้วย ดังนั้นเตรียมหมวกและครีมกันแดดมาให้พร้อมครับ และเลี่ยงการมาเดินช่วงเที่ยงๆครับ


● Alchi Monastery ●

Alchi Monastery เป็นโบราณสถานเก่าแก่ครับ ไม่ได้ใหญ่โตมากมีความเก่าแก่และเป็นที่เคารพนับถือของคนแถบนี้ครับ ก่อนถึงโบราณสถานจะต้องผ่านตลาดนัดเรียงต่อกันยาวเฟื้อย มีขายของฝากทุกชนิด ตั้งแต่ธงมนต์ (Praying Flag), ธรรมจักร (Praying Wheel) จนกระทั่งนัยน์ตาปิศาจจากตุรกี (Blue Evil Eye) ซึ่งมาได้ไงไม่รู้

Main Hall ของ Alchi Monastery มีขนาดเท่ากับห้องโถงเล็กห้องนึงเท่านั้นครับ เป็นอาคารเก่าแก่ ภายในจะมีเทวรูปอยู่ครับ มีป้ายตั้งไว้ว่าห้ามถ่ายภาพครับ เลยไม่ได้เก็บภาพกลับมาครับ นอกจากตัว Monastery แล้ว ที่นี่ยังสามารถเดินทะลุไปดูวิวแม่น้ำด้านหลังได้ครับ


● Likir Monastery ●

Likir Monastery เป็น Monastery ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เป็นที่ประทับของพระพุทธรูปพระศรีอารย์(พระศรีอาริยเมตไตรย)องค์ใหญ่ สูง 23 เมตร โดยที่นั่นจะเรียกพระศรีอารย์ว่า Maitreya ครับ

Monastery แห่งนี้เป็นที่ๆผมชอบที่สุดในวันนี้ครับ แม้ตัว Monastery จะไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่เทียบกับที่อื่นๆใน Ladakh แต่วิวจากบนดาดฟ้าของ Monastery ดีงามมากจริงๆ


นอกจาก Monastery ทั้งสามแล้ว Highlight อีกอย่างของการท่องเที่ยวใน Ladakh คือวิวข้างทางครับ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง Texture ของภูเขาจะเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของแสงและเงาทำให้เกิดวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาไปตลอดทางครับ


:::::::::::: Day 3-4 : Pangong Lake :::::::::::::

วันนี้เราจะเริ่ม Route ที่ออกนอกบริเวณ Leh District ครับ นั่นคือ Route Pangong Lake นั่นเอง โดย Route นี้จะผ่าน Monastery ใหญ่ๆสามที่คือ Shey, Thiksey และ Hermis Monatery แต่เราเก็บสามที่นี้ไว้วันหลังๆครับ ไม่งั้นจะถึง Pangong Lake เย็นมาก โดยเราจะค้างที่ Pangong Lake คืนนึง แล้วจึงค่อยกลับ Leh วันถัดไปครับ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบมาก พักถ่ายรูปรายทางได้ เนื่องจาก Route นี้นั่งรถนานและทางแย่มากครับ รวมทั้งผมอยากสัมผัสการนอนริมทะเลสาบและบรรยากาศยามเช้าของ Pangong Lake ด้วยครับ

ถนนในช่วงแรกจะเป็นถนนลาดยางอย่างดีครับ จนถึงจุดตรวจ Permit (ซึ่งเราให้ทางที่พักทำให้เมื่อวันที่มาถึง) จะเป็นทางแยก เส้นนึงจะไป Pangong Lake อีกเส้นจะไป Tso Moriri ครับ แต่เส้นหลังจากนี้จะเริ่มขรุขระเป็นถนนดินลูกรังและไต่สูงขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งใกล้ Chang-La Pass ทางจะเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นหินแตกๆ เริ่มมีน้ำไหล มีหลุมใหญ่ๆ และเป็นเส้นที่สูงชันเลียบหน้าผาด้วย


● Chang-La Pass ●

Chang-La Pass คือจุดพักที่สูงประมาณ 5,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขาแถบนี้ยังมีหิมะปกหลุมอยู่ ณ จุดนี้อากาศเบาบางมาก แค่ขึ้นขึ้นบันไดสิบขั้นไปร้านน้ำชาก็เริ่มหอบแล้ว ใครที่ปรับตัวไม่ค่อยเก่งอาจจะเริ่มปวดหูตาลายได้ พยายามอย่าอยู่นานและเคลื่อนไหวเร็วครับ จุดนี้จริงๆไม่ต้องแวะก็ได้ เพราะวิวไม่ได้สวยมาก หิมะตอนผมไปก็เป็นหิมะที่โทรมๆไม่ใช่หิมะตกใหม่ รวมถึงร้านขายของที่ไม่ค่อยมีของ ร้านอาหารก็มีไม่กี่ร้านทำให้แออัดหน่อย เพราะแก๊งแว๊น Big Bike เค้าจะมาจอดพักกันที่นี่ ส่วนสภาพห้องน้ำนี่ก็ปล่อยกลางแจ้งดีกว่าครับ

ลงจาก Chang-La Pass จะเริ่มเจอพื้นที่สีเขียว มีฝูงตัว Yak เดินกินหญ้าอยู่เป็นระยะ บางช่วงก็จะเจอฝูง Pashmina คล้ายๆแพะ ขนมันเอามาทอเป็นผ้าแคชเมียร์ที่นุ่มและอุ่นมาก จุดนี้บรรยากาศดีมากๆครับ


พอเข้าใกล้ทะเลสาบทางจะเริ่มเป็นทะเลทราย จะผ่านค่ายทหารใหญ่ๆค่ายนึงสามารถแวะกินข้าวได้ แต่ก็จะมีแค่ข้าวผัดกับบะหมี่ที่เป็นมังฯล้วน Route นี้จะหาของกินยากหน่อย แนะนำให้เตรียมมาทานครับ ไม่งั้นก็ต้องไปต่อคิวซื้อบะหมี่ที่ Chang-La Pass


จุดสุดท้ายก่อนถึงทะเลสาบจะเป็นแนวทรายยาว เดาว่าน่าจะมาจากน้ำในทะเลสาบนี่แหละครับ


● Pangong Lake

ในส่วนของตัวทะเลสาบนั้นสามารถขับรถดูวิวไปได้จนสุดเมือง Spangmik ครับ โดยจุดจอดรถจุดแรกจะมีอะไรให้ทำเยอะที่สุดครับ เช่น เช่าชุดแต่งตัวเป็นชาวพื้นเมือง ขี่ตัว Yak ถ่ายรูป และก็จะมีแหลมเล็กๆยื่นออกไปกลางทะเลสาบที่คนชอบมาถ่ายรูปกันครับ จุดอื่นๆจะมีแต่วิวเป็นหลักครับ


ส่วนบริเวณหน้าที่พักเราช่วงก่อนถึงเมือง Spangmik ลักษณะภูมิประเทศจะไม่เหมือนกับจุดแรกครับ จะเป็นลานหินซะส่วนใหญ่ ไม่มีชายหาด ก็สวยไปอีกแบบครับ ที่สำคัญคือเงียบสงบมากกก เหมือนเป็นทะเลสาบส่วนตัวของเราคนเดียวครับ


● Shanti Stupa ●

ในวันรุ่งขึ้นเราก็นั่งรถกลับยาวๆครับ โชคร้ายไปเจอรถเสียขวางทาง รถติดยาวกลายกิโลเมตร เรานั่งรอซ่อมรถอยู่ขั่วโมงกว่าๆ เลยกลับมาถึง Leh เย็นกว่าที่แพลนไว้แล้ว แต่ยังทันแวะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Shanti Stupa ซึ่งเป็นเจดีย์สีขาวอยู่บนภูเขาครับ ที่นี่ไม่ไกล และไม่กว้างมาก เหมาะจะแวะเก็บช่วงเย็นหลังจากไปนอกเมืองครับ


:::::::::::: Day 5-6 : Nubra Valley :::::::::::::

Route ไปยัง Nubra Valley นั้นจะผ่านสภาพภูมิประเทศหลากหลายมากตั้งแต่ภูเขาสูง ทุ่งราบ แม่น้ำ และทะเลทราย เส้นทางนี้แตกต่างจาก Route Pangong Lake ที่เป็นทางลูกรังขึ้นเขาขรุขระ Route Nubra Valley จะเป็นทางลาดยางสลับทางลูกรังเป็นช่วงๆ มีทั้งเรียบและขรุขระสลับกันไป ไม่ลำบากและเวียนหัวเท่า รวมถึงจะผ่านหลายหมู่บ้านซึ่งจะมีร้านอาหารอยู่บ้าง แต่ทางผมเตรียมไปกินเองจึงไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไรบ้างครับ

ซึ่งในช่วงแรกของการเดินทางในวันนี้เราสนุกสนานกับการเปิดกระจกถ่ายรูปวิวระหว่างทางมากๆครับ เส้นทางออกจาก Leh ไปยัง Nubra Valley จะเป็นถนนลาดยางยาวไปจนถึงทางขี้นเขาไปยัง Khadung La Pass ซึ่ง เส้นทางนี้จะวิ่งลัดเลาะภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆทำให้เราจะมองย้อนกลับไปเห็นวิวเมือง Leh จากมุมสูงครับ


แต่ในช่วง Khadung La Pass นั้น ค่อนข้างจะกันดารที่สุดในบรรดาเส้นทางทั้งหมด เนื่องจากเป็นถนนขรุขระเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และหลุม คดเคี้ยวไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ด้วยความสูงของถนนเส้นนี้ทำให้ทัศนวิสัยค่อนข้างแย่ เต็มไปด้วยเมฆ และหมอก สองข้างทางมีหิมะละลายไหลลงมาเป็นสายน้ำ พื้นบางช่วงจับแข็งเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ และบางช่วงแคบมากจนรถสวนกันไม่ได้ ซึ่งคนขับรถของเราก็ใจดี ชอบขับหลีกทางชาวบ้านเค้าจนบางทีรถเราอยู่ห่างจากขอบเหวเป็นระยะทางแค่ 1 รองเท้าบู๊ทเท่านั้นครับ

ในขากลับเราผ่านถนนเส้นนี้อีกครั้ง เจอกลุ่มคนอินเดียขับรถขึ้นมาเอง แล้วขับพลาดล้อไถลลงขอบเหวไป 1 ล้อครับ น่ากลัวมาก แต่คนที่นี่ดีมาก บรรดาคนขับรถเช่าพากันวิ่งร้อยเมตรไปช่วยกันดันรถขึ้นแทบจะทันทีครับ (คนขับรถเราก็ด้วย วิ่งเร็วมาก) เส้นนี้ไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นมานะครับ ต้องใช้ความชำนาญสูงมาก

ความน่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของเส้นทางนี้คือหินถล่มครับ เราจะไม่รู้เลยว่ามีโอกาสจะถล่มเมื่อไหร่ ตอนขากลับมีหินถล่มลงมาปิดทางก่อนเราจะมาถึงประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ทำให้เราติดอยู่บนเขาลูกนี้อยู่ชั่วโมงกว่าๆ รอรถตักและรถเจาะหินมาเคลียร์ทาง โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บครับ


● Khadung La Pass ●

Khadung La Pass เป็นจุดที่สูงที่สุดในเส้นทางนี้ และที่นี่เคลมว่าเป็นถนนรถวิ่งที่สูงที่สุดในโลก โดยสูงถึง 5,600 m ครับ แต่ข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าที่นี่สูงเท่ากับ Chang La Pass ที่ 5,300 m เท่านั้นเอง น่าจะทำเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยยวแหละครับ

สภาพเหมือนๆกับ Chang La Pass ในเส้น Pangong Lake จุดนี้คือจุดพักรถที่อยู่ตรงยอดเขาพอดีครับ ถ้าผ่านจุดนี้ได้แปลว่าเราได้ผ่านส่วนที่กันดารที่สุดของเส้นทางนี้ไปแล้วครับ บนนี้อากาศเบาบางทำอะไรต้องระมัดระวังครับ จะเป็นลมเอาง่ายๆ พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างแคบ ร้านขายของเล็กและกันดาร ห้องน้ำก็คงคอนเซปเดิมคือถ้าไม่อายก็ไปกลางแจ้งดีกว่า มีทางให้เดินขึ้นไผปชมวิวด้านบน แต่สูงอยู่ ผมไม่กล้าเสี่ยงขึ้นไปครับ อากาศเย็นมาก มีลูกเห็บตกเป็นระยะๆ แนะนำว่าอย่าอยู่จุดนี้นานครับ นอกจากความดันที่ต่ำมากๆแล้ว จะเป็นหวัดเอาง่ายๆด้วย

จุดไฮไลท์บริเวณนี้คือป้ายบอกความสูงครับ มีอยู่ 1 ป้าย กับ 1 หลักกิโล ตอนผมไปนักท่องเที่ยวมายืนอัดกันเพียบบบ เราไม่สู้เค้าเลยถ่ายไกลๆพอ (ได้เพื่อนเพิ่มมา 2 คนเฉยเลย)


เมื่อลงจาก Khadung La Pass มาแล้ว อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มจะผ่านภูมิประเทศที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ช่วงนี้เป็นช่วงที่สวยที่สุดในบรรดาเส้นทางทั้งหมดครับ บริเวณนี้จะอุดมสมบูรณ์มากจุดอื่นๆ อาจจะเพราะว่ามีแม่น้ำไหลคู่ขนานไปตลอดเส้นทาง ถ้ามาในช่วงกลางๆค่อนไปจนปลายฤดูใบไม้ผลิ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้สีสันสวยงาม ขนาดตอนที่พวกผมไปยังไม่ Full Bloom เต็มที่ก็เริ่มสวยแล้วครับ ดอกไม้ที่นี่จะเป็นดอกเล็กๆอยู่ติดพื้นหญ้าซะส่วนใหญ่ ทำให้พื้นที่เราเดินนั้นเหมือนปูด้วยพรมสีเขียวแซมด้วยจุดสีเหลืองม่วงสลับกับไปครับ


นอกจากนี้ยังบมีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เราจะพบเจอได้ตลอดทาง ทั้งตัว Yak, Marmot, Pashmina และบรรดาปศุสัตว์ทั้งหลาย พวกผมโชคดีมากเจอแร้งเคราตัวใหญ่เกาะอยู่ข้างทาง และถลาบินวนดูรถเราอยู่พักใหญ่ๆเลยครับ โดยที่นี่จะเรียกมันว่า Lammergeier ครับ เป็นหนึ่งในนกประจำถิ่นที่จะอาศัยอยู่ในแทบเทือกเขาสูง


พอเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Nubra Valley นั้น ภูมิประเทศจะเริ่มเป็นทะเลทรายครับ โดยเราจะนั่งรถขนานกับแม่น้ำเส้นใหญ่ ในภาพแม่น้ำจะเป็นสีฟ้าสวยเลยครับ แต่ตอนเราไปมีพายุฝนติดต่อกันหลายวันด้านในของ Nubra Valley เปลี่ยนแม่น้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเหมือนน้ำป่าไปซะแล้ว เราเลยไม่ค่อยอินกับวิวในช่วงนี้สักเท่าไหร่ แต่ได้ยินมาว่าจุดนี้นั้นแทบจะสวยที่สุดใน Ladakh แล้ว ไว้มีโอกาสจะลองกลับไปอีกสักครั้งนะครับ (แต่ขอพักสักระยะให้ลืมความเมื่อยจากการนั่งรถก่อน)


เนื่องจากเราแวะถ่ายรูปตลอดทาง ทำให้กว่าจะถึง Diskit ก็บ่ายแก่ๆแล้ว บวกกับที่ช่วงนี้ องค์ดาไลลามะประทับอยู่ที่ Diskit Monastery ด้วย ทำให้ถนนบริเวณนั้นแน่นขนัดไปด้วยรถทัวน์ของนักท่องเที่ยวครับ เราเลยตกลงกันว่าจะเที่ยวแถวๆนี้ในวันพรุ่งนี้ วันนี้จะตรงไปที่ Sand Dune ในเมือง Hundar ก่อน ซึ่งอยู่เลย Diskit ไปแล้วค่อยตรงไปยังที่พักครับ

● Hundar Sand Dunes ●

เป็นที่เที่ยวยอดนิยมของนั่งท่องเที่ยวที่มาที่นี่ครับ มีกิจกรรมให้ขี่อูฐเดินวนรอบทะเลทราย ราคาแบ่งตามระยะเวลาครับ แต่พอเราไปถึงเห็นสภาพน้องอูฐแล้วสงสารจับใจเลยครับ ดูเหนื่อยและผอมมาก เราเลยไปเดินเล่นบนทะเลทรายแทน ที่นี่มีร้านชำเล็กๆ และห้องน้ำนะครับ สภาพห้องน้ำตามคอนเซปเดิมเช่นกัน คือ มีก็เหมือนไม่มีครับ 555


เนื่องจากที่พักเราอยู่คนละฟากแม่น้ำกับ Diskit และ Hundar เราจึงต้องรีบออกเดินทางครับ โดยเผื่อเวลาสำหรับสำรวจรอบๆที่พักด้วย ว่าจะมีพวกร้านอาหารมั้ย หรือว่าต้องเข้าไปหากินข้างในเมือง Sumur ที่อยู่ถัดไป เพราะจาก Google Map ที่พักเรา (์Nubra Eco Loadge) นั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยวนอกเมืองครับ

แต่พอไปถึงทางที่พักนั้นมีทั้งข้าวเย็นและข้าวเช้าให้เราครบถ้วนครับ เลยใช้เวลาที่เผื่อไว้เดินเล่นรอบๆที่พักแทน ซึ่งด้านหลังจะสามารถเดินต่อยาวไปได้ถึงริมแม่น้ำเลยครับ และวิวบริเวณนี้ก็สวยงามไม่แพ้แถบ Hundar เลยดีเทียว

ขอนำภาพที่ถ่ายช่วงเย็น และช่วงเช้ารอบๆที่พักมาให้ชมนะครับ ผมเดินออกไปประมาณ 2 กิโลได้ครับ เพลินมากจริงๆ


● Diskit Monastery ●

เราแวะที่นี่ตอนเช้าก่อนกลับเมือง Leh ครับ ที่นี่เป็น Monastery ที่เก่าแก่ที่สุดในแถบนี้ครับ องค์ดาไลลามะใช้เป็นที่ประทับช่วงมาเยือน Leh โดยด้านบนของ Monastery จะมีพระศรีอริยเมตไตรยองค์ใหญ่ประทับอยู่ครับ


:::::::::::: Day 7-8 : Tso Moriri :::::::::::::

เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ยาวและใช้เวลามากที่สุดในทริปเรา แต่ข้อดีของเส้นนี้คือ สภาพภูมิประเทศจะเป็นที่ราบสูงตลอดทาง จะไม่มีวิ่งคดเคี้ยวเลียบเหว ไต่ระดับความสูงแบบเส้นอื่นๆ พื้นถนนก็จะมีทั้งแบบลาดยางสลับไปกับแบบขรุขระ แต่ไม่กันดารเท่าเส้นอื่น แต่ข้อเสียหลักๆของเส้นทางนี้คือ มันร้อนมากกกกกก ความที่วิ่งบนพื้นราบ อากาศจึงไม่เย็นเท่าไหร่ บวกกับภูมิประเทศแถบนี้ไม่ค่อยมีต้นไม้ เราจะวิ่งรับแดดตลอดเวลา รถไม่มีแอร์ ลมที่พัดเข้ามาก็จะเป็นลมร้อน ช่วงเที่ยงๆนี่แดดเผาขารุนแรงมาก คนนั่งริมต้องเตรียมผ้ามาคลุมไว้เลยครับ

ในช่วงแรกเราจะวิ่งบนถนนลาดยางเส้นเดียวกับที่ไป Pangong Lake แต่จะแยกไปอีกทางตรงด่านตรวจ Permit เส้นทางในช่วงแรงจะเป็นพื้นดินลูกรัง เรียบบ้าง ขรุขระบ้าง วิ่งเลียบไปตามแม่น้ำ มีหลุมนิดหน่อย คดเคี้ยวพอประมาณ สองข้างทางจะไม่มีวิวสักเท่าไหร่เป็นแนวหน้าผาหิน ช่วงที่เราไปน้ำหลาก น้ำไหลแรงและเป็นสีน้ำตาล ช่วงปกติน่าจะเป็นสีฟ้าสวยอยู่นะครับ

บางช่วงเราจะเจอภูมิประเทศหน้าตาประหลาดๆบ้าง เช่น หน้าผาหินสีม่วง ผ่านค่ายทหารเป็นพักๆ มีทะเลสาบให้จอดดูวิวเล่นๆนิดหน่อย

ช่วงที่สองของเส้นทางจะเริ่มมีสีเขียวครับ เราจะเข้าสู่พื้นที่ของ Tso Moriri Wetland Conservation Reserve ซึ่งบริเวณนี้เราจะเริ่มเจอบรรดาตัว Marmot อีกครั้งครับ แต่ Marmot แถวนี้จะดูสะอาดสะอาด ตัวผอมเพรียว ขนสวย ไม่เหมือนกับแถว Nubra Valley ที่จะตัวอ้วนๆ และมีขนหลุดเป็นหย่อมๆ


● Tso Kar ●

Tso Kar คือทะเลสาบเล็กๆก่อนะจถึง Tso Moriri ครับ ถึงจะไม่ใช่ที่เที่ยวหลัก แต่บรรยากาศรอบๆทะเลสาบก็สวยงามไม่แพ้กันนะครับ และเราจะเริ่มพบเต๊นท์ของ Nomads (ชนเผ่าเร่ร่อน) ประปรายตามทางครับ


บริเวณ Tso Moriri นั้นจะอยู่บนที่ราบสูง Changthang Plateau ซึ่งจะกินอาณาเขตยาวไปจนถึงชายแดนธิเบต บริเวณนี้เราจะพบกับ Nomads หลายชนเผ่า ซึ่งจะใช้ชีวิตเดินทางไปเรื่อยๆในที่ราบสูงแห่งนี้ครับ ชนเผ่าเหล่านี้จะเดินทางมาพร้อมกับฝูงแพะ Pashmina และ Yak พร้อมกับสุนัขไว้คอยต้อนฝูงสัตว์ ซึ่งเค้าจะนำขนของ Yak และ Pashmina ไปขายตามหมู่บ้านที่ผ่านไป เพื่อใช้ซื้อของจำเป็นต่างๆครับ บริเวณเมือง Karzok ที่ติดกับทะเลสาบก็จะมีโรงเรียนสำหรับเด็กๆในชนเผ่าอยู่ครับ

ตลอดการเดินทางเราจะพบเต๊นท์ผ้าของชาว Nomads เป็นระยะๆ ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกลิ่นแพะลอยมาตามลม มีคนบอกว่าสุนัขต้อนสัตว์นี่จะไม่ทำอะไรคนยกเว้นเราจะไปแตะตัวสัตว์ที่มันต้อนอยู่ครับ ถึงจะบอกว่าเป็นสุนัข แต่ขนาดตัวมันนี่พอๆกับหมาป่าเลย


● Tso Moriri ●

Tso Moriri แปลว่า "Mountain Lake" ครับ เป็นทะเลสาบที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขา ที่นี่สูงประมาณ 4,500 m จากระดับน้ำทะเลและได้ชื่อว่าเป็น High Altitude Lake ที่ใหญ่ที่สุดในแถบ Tran-Himalaya ครับ ตัวทะเลสาบนั้นเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งจากเทือกเขาโดยรอบมารวมอยู่ที่ทะเลสาบนี้โดยไม่มีทางออกสู่แม่น้ำใหญ่หรือทะเล น้ำในทะเลสาบนี้จึงมีแร่ธาตุต่ำมาก ทำให้ไม่มีพวกสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การดื่มครับ รวมถึงใต้ทะเลสาบจะมีออกซิเจนอยู่ด้วย ทำให้พวกปลาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย

จุดศูนย์กลางของ Tso Moriri จะอยู่บริเวณเมือง Karzok ครับ เป็นเมืองเล็กๆริมฝั่งทะเลสาบที่จะมีที่พักและร้านอาหาร (แต่เล็กมากๆ) ขับเข้าไปในทะเลสาบสักพักนึงก็จะถึง ที่นี่เราสามารถเดินเที่ยวไปตลอดแนวชายฝั่ง และถ้าขับรถเลยเมืองไปก็จะมีเนินเขาที่จะเห็นวิวเมืองจากมุมสูง และยังขับดูวิวต่อไปได้อีกจนสุดขอบเลยครับ

โดยส่วนตัวผมชอบที่นี่มากกว่า Pangong Lake สาเหตุหลักๆเลยคือลวดลายของภูเขาที่เป็นฉากหลังของทะเลสาบนี้สวยงามมาก เวลาน้ำนิ่งจะเกิดเงาสะท้อนที่แปลกตา เมื่อมองไปไกลๆจะเห็นเทือกเขาหิมะสลับทับซ้อนกันไปมา รวมทั้งบรรยากาศตรงริมฝั่งทะเลสาบนั้นมีชีวิตชีวามาก ตอนเช้าๆจะเห็นสุนัขต้อนสัตว์วิ่งเล่น ตอนเย็นจะมีฝูงสัตว์เดินผ่านเมือง ในทะเลสาบจะมีนกน้ำบินไปมา บางจุดก็เป็นทุ่งหญ้า บางจุดมีทุกดอกไม้ บางจุมีหนูโผล่มาจากหลุมดูเราถ่ายรูป และแต่ละมุมของทะเลสาบแห่งให้ทัศนียภาพที่แต่งต่างกันไปครับ

รูปประกอบจะเยอะหน่อยนะครับ ผมเก็บภาพที่นี่ไว้เยอะมาก



:::::::::::: Day 9 : Around Leh :::::::::::::

อันนี้จะนับเป็น 1 วันก็ไม่เชิงนะครับ คือตอนกลับจาก Tso Moriri เราออกค่อนข้างเช้า เลยมาถึงแถบ Leh เร็ว (ประมาณบ่ายสาม) และเส้นทางเข้าเมืองจะผ่าน Monastery ที่เราแพลนจะไปวันรุ่งขึ้น เราเลยขอให้คนขับแวะให้ก่อนเข้าเมืองครับ และวันรุ่งขึ้นเราเปลี่ยนไปเที่ยวในเมือง Leh แทน และนอนพักผ่อนอีกครึ่งวันครับ

โดยที่ๆเราแวะตอนเย็นคือ Thiksey Monastery, Shey Monastery และ Leh Monastery(ดูพระอาทิตย์ตกดิน) ครับ


● Thiksey Monastery ●

Thikse Monastery เป็น Monastery ที่ใหญ่ที่สุดใน Ladakh ครับ โดยสร้างอิงจาก Potala Palace ในธิเบต (Monastery ส่วนใหญ่ใน Ladakh จะสร้างอิงตามพระราชวังนี้) เพื่อใช้เป็นสถานที่เผยแพร่พุทธศาสนาครับ

ด้านในจะแบ่งเป็นห้องโถงย่อยๆหลายห้องครับ มีทั้งส่วนที่เป็นพระอุโบสถ ห้องต่างๆ ที่ประทับขององค์ดาไลลามะ และสามารถขึ้นไปดูวิวบนดาดฟ้าได้ครับ โดยในพระอุโบสถจะมีพระพทธรูปของพระศรีอริยเมตไตรยที่มีความสูงเท่ากับตึกสองชั้นครับ


● Shey Monastery ●

Shey Monastery หรืออีกชื่อคือ Shey Palace เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนของ King of Ladakh องค์ก่อน พอหมดรัชสมัยมีการย้ายเมืองหลวง วังเแห่งนี้เลยถูกทิ้งร้างไป ปัจจุบันส่วนที่เป็นวังกลายเป็นโบราณสถานและปิดไม่ให้เข้าแล้ว ส่วนที่เข้าไปได้จะเป็น Monastery ครับ

ที่นี่ต้องเดินเท้าขึ้นเนินนะครับ ใครที่มาวันแรกๆให้ระวังนิดนึง หากร่างกายยังไม่ชินกับอากาศที่บางจะเป็นลมเอาได้ง่ายๆครับ แดดแรงมากด้วย


● Leh Monastery ●

Leh Monastery จะอยู่บนยอดเขาถัดจาก Leh Palace พอดีครับ ถ้าฟิตหน่อยสามารถเดินเท้าขึ้นไปจาก Leh Palace ได้นะครับ แต่ผมขอนั่งรถขึ้นไปดีกว่า กลัวเป็นลม โดยทางรถขึ้นจะอยู่คนละด้านกับ Leh Palace นะครับ ใครจะไปทั้งสองที่นี้ต่อกันให้เผื่อเวลาเดินทางไว้นิดนึงครับ

ที่นี่จะคล้ายๆหอคอย มีชั้นๆให้เราเดินขึ้นไป ชั้นบนสุดจะเป็นค้ลายๆ Observation Deck เป็นระเบียงไม้สามารถเดินวนดูวิวได้ 360 องศาครับ แต่ทางเดินจะเเคบและเตี้ยหน่อย และไม้ตีระแนงไว้เเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ถ่ายรูปยากครับ แนะนำให้ดูพระอาทิตย์ตกตรงระเบียงด้านหน้าจะดีกว่าครับ


และในตอนเช้าวันถัดมา พวกเราก็มาซ้ำที่นี่อีกรอบเพื่อถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นครับ เรียกว่าวนไปวนมาอยู่แถว Leh Palace & Monastery เกือบทุกวันเลย


● Spituk Monastery ●

Spituk Monastery เป็น Monastery อีกแห่งที่สร้างต่อจาก Thiksey เพื่อใช้เผยแพร่ศาสนาพุทธ ที่นี่เป็นที่ประทับอีกแห่งขององค์ดาไลลามะ โดยจะมีห้องและเก้าอี้ของท่านให้ชม ผมสังเกตว่าพระที่นี่จะสวดมนต์ตลอดเวลาไม่ว่าจะนั่ง เดิน กวาดพื้น ล๊อคประตูครับ

วิวจาก Monastery จะมองเห็นสนามบิน Leh ได้อย่างชัดเจนครับ เราจะเห็นวิวเครื่องบินแลนดิ้งเป็นระยะๆครับ


● Phayang Monastery ●

Phayang Monastery เป็น Monastery เล็กๆถัดจาก Spituk Monastery ออกไปทางนอกเมืองครับ ที่นี่ไม่ค่อยมีห้องให้เข้าชม มีห้องๆนึงจะมืดๆน่ากลัวๆหน่อย มีซากสัตว์สตาฟ แขวนไว้ แต่ห้ามถ่ายภาพครับ ด้านนอกบางส่วนก็กำลัง Renovate ใหม่


และแล้วก็มาถึงที่เที่ยวที่สุดท้ายของทริปนี้ครับ จริงๆเรามาเป็นที่แรกเลย แต่ไม่ได้เข้าไปด้านใน และก็วนเวียนผ่านมาอีกหลายครั้งไม่ได้เข้าสักทีจนวันสุดท้ายครับ สถานที่แห่งนั้นคือออ........


● Leh Palace ●

พระราชวังเก่าแก่คู่เมือง Leh สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 อ้างอิงรูปแบบตาม Potala Palace ที่ธิเบตเช่นกัน ตัวพระราชวังมี 9 ชั้น นับรวมส่วนที่ฝังอยู่ในภูเขาด้วย เราสามารถเข้าไปเดินชมได้ทั้ง 9 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะจัดแสดงนิทรรศการเล็กๆแตกต่างกันครับ นอกจากนั้นยังมีระเบียงและดาดฟ้าสำหรับชมวิวด้วย ก่อนซื้อตั๋วเข้าอย่าลืมแสดงพาสปอตประเทศไทยด้วย จะได้ส่วนลดค่าเข้าชมนะครับ

คำเตือน : ไม่ควรใช้ห้องน้ำที่นี่ครับ แค่เปิดประตู คนก็จ้องกันทั้งชั้นแล้ว กลิ่นแรงมาก



สุดท้ายนี้.......

ขอขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามอ่านนะครับ หวังว่ารีวิวของผมจะเป็นประโยชน์กับท่านที่กำลังจะเดินทางไป Ladakh นะครับ


Ladakh เป็นที่ๆเที่ยวง่ายแต่ต้องใช้ความอดทนสูงครับ ทั้งเรื่องของร่างกายที่ต้องเจอกับภาวะอากาศเบาบาง ถนนหนทางที่ธุรกันดาร และสุขอนามัยต่างๆ แต่ก็แลกมาด้วยความงดงามและสมบูรณ์ของธรรมชาติที่นี่ครับ


ตอนอยู่นั่นอาจจะงอแงบ้าง แต่พอกลับมาแล้วจะคิดถึงที่นั่นครับ โดย Tso Moriri นี่ผมชอบมาก


สำหรับผมนั้นเชื่อว่าสักวันจะได้กลับซ้ำแคว้นนี้อีกแน่นอนครับ


ขอให้สนุกกับการเดินทางครับ


Mountain Seal

 วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.51 น.

ความคิดเห็น