กราบสวัสดีชาวพันทิปทุกท่านนะครับ เนื่องด้วยเมื่อวันก่อนน้องสาวคนเล็กได้มาขอคำแนะนำจากผมเรื่องจะไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปีหน้า ทำให้ผมได้มีโอกาสระลึกความทรงจำครั้งอดีตเมื่อปี 2554 ที่ได้ไปเป็นคนไทยตัวน้อยๆร่อนเร่ในทวีปอเมริกาเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาล จึงได้ถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวการเดินทางของผมและเพื่อนอีกสองคนจากกรุงเทพสู่หลุมยักษ์แห่งรัฐ Arizona นามว่า The Grand Canyon ครับ

** ขอเน้นเรื่องการเดินทาง และการใช้ชีวิตเป็นหลักนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆที่อยากไปจะ Work ที่ GC จะได้เตรียมตัวไปถูก ส่วนเรื่องค่าใช้ต่างๆคงจะไม่เน้นเท่าไหร่ เพราะน่าเปลี่ยนแปลงไปมากอยู่ครับ **

การเล่าขอแยกเป็น PHASE นะครับ สำหรับคนที่เข้ามาสนใจเฉพาะบางเรื่องจะได้เลือกอ่านได้ครับ

PHASE I : รายละเอียดช่วงเตรียมตัวไปเวิร์ค

PHASE II : การเดินทางจากกรุงเทพ - Grand Canyon (แถมเรื่อง Social Security Card)

PHASE III : รายละเอียดงาน สถานที่ต่างๆ และการใช้ชีวิตบน Grand Canyon

PHASE IV : การท่องเที่ยวบน Grand Canyon

PHASE V : ชีวิตร่อนเร่ใน USA หลังจบงาน (Las Vegas, LA)


PHASE I - Preparation


Why Grand Canyon?: หลุมใหญ่ๆมันมีอะไรดี

      ผมไปเวิร์คตอนผมเรียนมหาลัยปี 2 ช่วงปิดซัมเมอร์ครับ ตอนแรกกะจะไปคนเดียว (เนื่องจากหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ยากมาก และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) โดยเริ่มจากดูที่ทำงานของหลายๆเอเจนซี่ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบถ่ายรูปและชอบเที่ยวธรรมชาติมากๆ จึงสนใจการไปทำงานใน National Park ครับ ข้อดีที่จะได้พ่วงมาด้วยกับการทำงานใน Park คือที่พักจะถูกมาก (ตอนผมไปเดือนละ 30$) มี Cafeteria พนักงาน รับคนเยอะ และหา Job เสริมได้ง่ายครับ โดยตอนนั้นมีแค่ 2 เอเจนซี่ที่มี National Park และมีแค่ 2 Park คือ Grand Canyon South rim และ Yellow Stone ซึ่งส่วนของ Yellow Stone จะเปิดให้เข้าทำงานในกลางเดือนเมษายนทำให้เหลือเวลาเวิร์คและเที่ยวแค่เดือนครึ่งเท่านั้น ผมจึงตัดไปและเลือก Grand Canyon (ขอย่อว่า GC นะครับ) แทนครับ ซึ่งชื่อเต็มๆคือ Xanterra South Rim, LLC เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลด้านที่พัก และอาหาร ของ GC National Park ครับ

Grand Canyon : Orange Route

Team Building : สามชายโฉดแห่งเคบิน112

          ถึงตอนแรกจะแพลนไปคนเดียว แต่สุดท้ายก็มีเพื่อนติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก 2 คนครับ ซึ่งการหาคนไปจอยก็ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายครับ ในมหาลัยผมจะรับน้องตอนปี 1 เพราะงั้นตอนปี 2 จะว่างครับ เพื่อนๆส่วนใหญ่จะเลือกเรียนซัมเมอร์กัน แต่ก็จะมีกลุ่มเล็กน้อยๆที่วางแผนจะไปเวิร์คครับ อยู่ที่เราจะหากันเจอรึป่าว เคสของผมโชคดีหหน่อย ระหว่างเลือกเอเจนซี่ผมบังเอิญไปเจอเพื่อนคณะเดียวกันคนละภาควิชาที่วางแผนจะไปเวิร์คเหมือนกัน แต่ 2 คนนั้นยังไม่ได้ที่ๆจะไปชัดเจน ผมจึงถือโอกาสรวบตัวเข้ามาร่วมทีมได้ไม่ยาก โดย GC ก็มีเสน่ห์ดึงดูดในตัวมันอยู่แล้ว ขาดแค่คนชี้เป้าว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่นะ (ตอนนั้นส่วนใหญ่เพื่อนๆจะไปเวิร์คที่สวนสนุก สวนน้ำ และพวกฟาสฟู๊ดกันครับ ไม่ค่อยแลตามอง Park เท่าไหร่)

Fast Food ร่วมสาบาน

The Process : กรอกใบสมัครสิครับ จะรออะไร!

          ที่พร้อม ทีมพร้อม ก็ต้องรีบสมัครสิครับ ผมสมัครเข้าโครงการกับเอเจนซี่ชื่อไทยว่า "ข้ามทะเล" รายละเอียดเรือนรางไปกับวัยที่ร่วงโรยไปแล้วเรียบร้อย แต่โดยคร่าวๆคือ สมัครโครงการ > สอบข้อเขียน/สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ > บรีฟต่างๆนาๆ > กดเลือกงานในเวป > เตรียมเอกสารการเงิน > ทำวีซ่า J1 > Meeting > เตรียมเดินทาง ประมาณนี้ครับ โดยเราเลือกได้ว่าจะเดินทางกับเอเจนซี่หรือจะไปเอง ถ้าไปกับเอเจนซี่เค้าจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและการเดินทางในประเทศให้หมดครับ รวมถึงส่งคนไปดูแลตั้งแต่หน้าสนามบินจนถึงหน้าที่พักเลยทีเดียว แต่แน่นอนเราจะไปเองครับ อยากประหยัด เอ้ย ผจญภัย 555 (เรื่องงานขอยกไปอธิบายใน Part การใช้ชีวิตใน GC นะครับ จะเห็นภาพชัดเจนกว่า)

The J1 : วีซ่าพาเพลิน

          เราไปเวิร์คต้องขอวีซ่า J1 เป็นวีซ่าที่ใช้ทำงานเสียภาษีในอเมริกาได้ระยะนึงครับ โดยปกติหลังจากจบเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแล้ว จะสามารถอยู่ในอเมริกาได้อีก 30 วัน เราก็จะไปเที่ยวกันช่วงนั้น แต่การซื้อของต่างๆในอเมริกา เราจะขอ Tax Refund ที่สนามบินแบบวีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้ครับ แต่ Tax ที่หักไปจากค่าจ้างจะทำเรื่องขอคืนได้ในปีถัดไปครับ

          เผอิญเอเจนซี่อยู่ตึกตรงข้ามสถานทูตอเมริกาพอดีครับ ทำให้เวลาไปทำวีซ่าก็จะไปเตรียมตัวกับเอเจนซี่ก่อน ตอนผมไปขอไม่ยากครับ แค่จองคิวให้ได้ เตรียมเอกสารให้ครบ เจ้าหน้าที่จะดุนิดนึง ไปสัมภาษณ์ฝรั่งที่สัมภาษณ์ผมใจดีครับเป็นการถามตอบทั่วไป จะมีประเด็นแค่ตอนสแกนลายนิ้วมือเจ้าหน้าที่บอกว่า "Put your left index in to a scanner" ด้วยความฉลาดผมไม่รู้ว่านิ้วมือทั้ง 5 ของเรามีชื่อของตัวเองด้วย เลยมึนไปพักใหญ่ๆ ( โป้ง-thumb  ชี้-index กลาง-middle นาง-ring ก้อย-little) เข้าไปในสถานทูตจะต้องฝากกระเป๋าตังกับโทรศัพท์นะครับ ต้องพกตังเข้าไปจ่ายค่าไปรษณีย์ด้วยหากต้องการให้สถานทูตส่งวีซ่าไปให้ที่บ้าน ถ้าออกไปเอาจะเสียเวลามาก

Credit: http://solagroups.com/english/learnenglish/part2/body/

Food for thought : รอกินมาม่า

          ด้วยหลายๆคนได้เตือนผมว่าอาหารการกินที่อเมริกาจะไม่หลากหลายเหมือนบ้านเรา จึงควรเตรียมพวกเครื่องปรุงและอาหารสำเร็จรูปได้ไปด้วยป้องกันการคิดถึงรสชาติไทยๆ (tongue-sick //มั่ว) พวกผมจึงเตรียมมาม่ากันไปคนละ 1-2 แพค จำไม่ได้ เอาเป็นว่าพอถึงเอามาม่ามารวมกันยัดใส่ลิ้นชักยาวได้ 3 ชั้น มีเพื่อนเอากะทะไปด้วย(แต่ไม่มีตะหลิว) ส่วนผมมีพวกปลากับหอยกระป๋องไปเผื่อ และน้ำปลาทิพย์รส ซึ่งกลายเป็นสมบัติล้ำค่ามากชิ้นหนึ่งใน GC

สรุปให้ง่ายๆนะครับ สิ่งที่ควร/ไม่ควรนำไป (จคหสต.นะครับ)

ควรนำไป

-มาม่า เลอค่า ถูก ประหยัด เบา ประกอบอาหารพลิกแพลงตะแคงซ้ายขวาได้มากมาย พอกินหมดกระเป๋ามีที่ หิ้วของกลับไทยได้อีกเยอะ

-กระป๋องทั้งหลายแหล่ (อาหารนะครัช) ในช่วงเดือนแรกถ้าเบื่อมาม่า มันช่วยได้ โจ๊กสำเร็จรูปก็ไม่เลวครับ เอามาผสมมาม่าได้อร่อยอีกแบบ

-เครื่องเทศ มีค่ามหาศาลดั่งอยู่ในยุคโคลัมบัสค้นหาอเมริกา เนื่องจากอาหารที่นั่นจืดชืด คุณจะคืดถึงมะนาว และน้ำปลา เตรียมพวกที่เป็นซองๆไปจะดีมาก รวมถึงพวกผงผัดต่างๆนาๆ

ไม่ควรนำไป

-เครื่องครัว จะบอกว่ากะทะที่เอาไปไม่เคยได้ใช้ 555+ ไปซื้อกะทะไฟฟ้าที่นั่นสะดวกกว่า ก่อนกลับก็ขายคืนให้คนที่ขึ้นมาอยู่ต่อได้ คุ้มค่ามากกว่าแบกไปแบกกลับครับ แถมกระทะไฟฟ้าทำได้ทั้งทอดผัดต้มชาบู

-ของที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเนื้อสัตว์ เช่นหมูแผ่น หมูหยอง อาจจะจะโดนดักจับตั้งแต่อยู่สนามบินแล้วครับ

เสน่ห์ปลายจวัก ต้องมาฝึกกันถึง USA

Hot or Cold ทะเลทรายจะหนาวหรอ?

          เป็นคำถามติดปากครับ ทุกคนจะเกิดการลังเลว่าช่วงที่ไปเวิร์ค (มีนา-พฤษภา) มันจะยังหนาวมั้ย ซึ่งตามฤดูกาลจะเป็นปลายหนาวแล้ว แถมอริโซน่าก็อยู่ค่อนไปทางใต้ บริเวณที่ไปก็เป็นทะเลทราย อันนี้หลายๆคนเฟิร์มมาให้ว่าไม่หนาวครับ อยากจะฝากไปบอกคนเหล่านั้นครับ "ไม่หนาวพ่**" ขึ้นไปใหม่ๆเจอเศษหิมะดำตามข้างทาง เค้าเว้ากันว่า last snow อาทิตย์ถัดมา มันก็มีฝอยขาวๆเย็นๆร่วงลงมาอีก ก็ last snow อีก ประเด็นคือมันร่วงลงมาแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ จนอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะกลับ มันก็ยังร่วงลงมา last snow ไหมล่ะะะะครัช สรุปหนาวนะ!! พูดเลย

หลักฐานมาครบครัช หิมะเดือนมีนา

หิมะเดือนเมษา

แถมลูกเห็บเดือนพฤษภาให้ด้วย -/\-

สิ่งที่เน้นมากๆเลยสำหรับต่อสู้กับสภาพอากาศใน GC คือโลชั่นสำหรับผิวแห้งมากๆครับ (เพื่อนเรียกโลชั่นทาเท้า) เพราะบน GC อากาศแห้งมาก ชนิดที่ว่าวันไหนไม่ทาโลชั่น พอเอามือลูบหน้าผิวจะหลุดเป็นละอองระยิบระยับดั่งหิมะเดือนห้า อย่างที่สองคือเสื้อหนาวแบบกันลม ถ้าใส่ไหมพรมแบบเกาหลี ก็ได้ตะคริวจับทั้งตัวนะครับ แม้ว่าอริโซน่าจะเป็นทะเลทราย และอยู่ช่วงล่าง แต่ GC นับได้ว่าเป็นเขตที่สูงครับ ประมาณภูกระดึงเลย แถบมันยังราบมากๆ ทำให้ลมแรง+แห้ง+เย็น ควรจะเอาเสื้อหนาวที่กันลมได้ไปครับ รวมถึงหมวก ถึงมือ รองเท้าหนาๆ ได้ใส่เกือบทุกวัน อีกอย่างคือลองจอน ใส่ไว้ไม่งั้นขาลาย อากาศแห้งมันเป็นแผลง่าย ลิปมันก็จำเป็น แต่ถ้าขี้เกียจพก ก็เอาโลชั่นทาเท้านั่นแหละทาไป แต่แนะนำให้ทาปากก่อนค่อยทาเท้านะครับ

ตัวอย่างการแต่งกายในวันหิมะตกที่ไม่ถูกต้อง (อย่าล้อเล่นไป ตะคริวกินหน้าท้องที่นี่ไม่สนุกนะครับ 555)

All About the bag : แบกเข้าไป แบกเข้าไป

ของอื่นๆนอกเหนือจากอาหารและอุปกรณ์ยังชีพทั่วไปที่แนะนำให้แบกไปนะครับ

- โน๊ตบุ๊ค (หรืออย่างน้อย Tablet) จริงๆสมัยนี้น่าจะแบกไปหมดล่ะมั้ง 555 ตอนผมไปเป็นสิ่งที่ลังเลอยู่ แต่จำเป็นจริงๆครับ ทั้งในการติดต่อสื่อสาร เก็บรูป หนังละครซีรี่ย์ สมัยผม wifi ในที่พักไม่มี (ตอนนี้ก็อาจจะยังไม่มี) ต้องอาศัยตาม lobby โรงแรมไปนั่งเล่น ยกเว้นวันอากาศดีๆอาจจะมีสัญญาณลอยมานิดหน่อย ถ้าขยันก็พกตัวดึงสัญญาณ Wifi ไปก็ได้ครับ

- กล้องถ่ายรูป คุณกำลังจะเดินทางไป National Park ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของโลก แค่กล้องหน้าไอโฟนไม่มีทางสนองนี้ดการ Selfie กับหลุมยักษ์แห่งนี้ได้หรอกครับ + ที่เที่ยวอีกมากมายหลังจากการเวิร์คอันทรหดจบสิ้น และเมื่อกลับมาไทย รูปเหล่านี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าที่คุณจะมาคอยเปิดดูเรื่อยๆเพื่อระลึกถึงความทรงจำอันหอมหวาน?ในหลุมยักษ์แห่งนี้

- กระติกน้ำ หรือจะซื้อที่นั่นก็ได้ แต่แพงหน่อย ในประเทศที่น้ำราคาเท่าเบียร์ เราย่อมเลือกซื้ออย่างหลังแน่นอน แต่อะไรจะป้องกันเราจากการขาดน้ำตายล่ะ นี่คือจุดที่กระติกน้ำเข้ามาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต เมื่อน้ำราคาขวดละ 2$ แต่คุณสามารถกินฟรีได้จากก๊อกน้ำที่ห้อง จะลังเลทำไมล่ะ กรอกเข้าไปสิครับ!

-รองเท้าเดินป่า/บู๊ท/ผ้าใบดีๆหนาๆ ได้ใช้แน่นอนสำหรับการร่อนเร่ที่นี่ พื้นส่วนใหญ่เป็นดิน ที่จะแปลงร่างเป็นโคลนทันทีเมื่อเปียกน้ำ ไม่รวมหิมะที่จะแทรกเข้ามาในรองเท้าถ้าไม่หนาพอ

- แว่นตากันแดด แดดใน Arizona เป็นแดดที่ควรค่าแก่การป้องกัน ในวันที่หิมะถมเต็มพื้นถ้าไม่มีแว่นกันแดดจะตาพร่าเอาง่ายๆครับ เนื่องจากถ้าเงยหน้าจะเจอแดดจ้า พอก้มหน้าหิมะผู้หวังดีก็สะท้อนแดดกลับขึ้นมาปะทะดวงตาเราอีก เรียกว่าที่นี่ไม่ได้ใส่แว่นดำเพื่อความชิคแบบที่เราๆใส่ไปพัทยาในวันฟ้าครึ้มแน่นอน

- อื่นๆ ยังคิดไม่ออก ถ้านึกอะไรเพิ่มได้จะมาเติมนะครับ


Before Take off : ก่อนเท้าลอยฟ้า

         แนะนำให้ทำ Checklist ไว้ว่าของสำคัญที่ต้องเอาไป (พวกเอกสาร) มีอะไรบ้างนะครับ รวมถึงเรื่องการเดินทางและที่พักก่อนที่จะถึงที่ทำงานของเรา Greyhound-Amtrak-Hotel เตรียมไปให้ครบ รวมถึงคนที่ภาษาไม่คล่อง ให้จดที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของเอเจนซี่ที่นั่น และนายจ้างเราไว้ด้วย หากเกิดเหตุฉุกเฉินเราก็ยังมี Reference ครับ ที่สำคัญ เราจะไม่ได้ Paycheck จนกว่าจะทำงานถึงรอบจ่าย (บางที่ครึ่งเดือน บางที่ก็เดือนนึง) เพราะฉะนั้นให้เตรียมเงินจากไทยไปให้พอสำหรับใช้ชีวิตอยู่ในเดือนแรกนะครับ ซึ่งอาจจะต้องจ่ายค่าหอ มัดจำเครื่องแบบ ฯลฯ ตอนผมไปพก Pocket Money ไป 800 USD ครับ พอดีๆรอดในเดือนแรก

คำเตือน!!! : แนะนำให้ทำงานก่อนค่อยเที่ยวนะครับ จะมีเคสที่บางคนจะแวะเที่ยวก่อนค่อยขึ้นไปทำงาน เช่นทรานสิสที่นาริตะแวะเที่ยวญี่ปุ่นก่อน บินต่อไปลง LA แวะเที่ยว LA ต่อ ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือเผลอกินเผลอช้อปเยอะเกิน!! จน Pocket Money หมดเกลี้ยง สิ่งที่จะตามคือ 1 เดือนอันทรมานที่คุณจะต้องประหยัดทุกเสี้ยวลมหายใจเพื่อรอวันที่ Paycheck แรกออก (เค้าโครงจากเรื่องจริงครับ 555+)

ขอจบ PHASE I แต่เพียงเท่านี้ครับ ไว้จะมาต่อเรื่องราวการเดินทางใน PHASE II นะครับ (คาดว่าน่าจะพรุ่งนี้เย็นๆ) สำหรับผู้ที่อยากจะเป็นเที่ยว GC ก็สามารถอิงการเดินทางนี้ได้เช่นกันนะครับ เพราะเป็นทางสัญจรของทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวครับ


PHASE II - The Whole New World

ส่วนนี้เป็นส่วนของการเดินทางจากกรุงเทพไปยัง Grand Canyon South Rim นะครับ ใครที่อยากจะไปเที่ยวโดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็สามารถอิงวิธีการตามนี้ได้ครับ

และแล้วก็ถึงเวลาออกตะลอนทัวน์กัน เนื่องจากเราเดินทางไปกันเอง ขอเราเป็นเหตุการณ์ยาวไปจนถึงหน้าประตูเคบินแล้วกันนะครับ มีเรื่องราวมากมายชนิดที่ว่าเอามาบ่นได้ยันลูกบวชเลยทีเดียว

          แพลนคร่าวๆพวกเราจองตั๋วเครื่องบินของ China Eastern จากกรุงเทพ - Transit ที่เซี่ยงไฮ้ - LA จากนั้นบินในประเทศด้วย American Airway ต่อไปยังเมือง Phoenix รัฐ Arizona (หรือจะไปด้วย Greyhound/Amtrak ก็ได้ แต่ราคาไม่หนีกันมาก) จากนั้นนั่งรถตู้ Arizona Shuttle ไปลงเมือง Flagstaff เมืองสุดท้ายก่อนถึง Grand Canyon ซึ่งเราต้องทำ Social Security Card ที่เมืองนั้น แหละแวะซื้อของของจำเป็นเช่น ซิมโทรศัพท์ กะทะไฟฟ้า อาหาร ขนมทั้งหลาย เนื่องจากบนนั้นมีแค่ Market Store เล็กๆเท่านั้น

วาร์ปการคมนาคมหลักนะครับ

http://arizonashuttle.com/ >>วินรถตู้อนุสาวรีย์

https://www.greyhound.com/ >>เจ๊เกียว

http://www.amtrak.com/home >> รฟท.

กรุงเทพ-เซี่ยงไฮ้

          สเตปต่อจากนี้ไป 70% จะเป็นการบ่นสายการบินล้วนๆนะครับ ใครถือหุ้นของ China Eastern โปรดอย่าฟ้องร้องผม ผมบ่นไปเพราะอัดอั้นตันใจจริงๆมิได้คิดจะว่าร้ายสายการบินใดๆทั้งสิ้น

          เริ่มจาก 5 ชั่วโมงจากกรุงเทพไปเซี่ยงไฮ้ อันนี้ไม่มีอะไรเท่าไหร่ครับ หลังจากบอกลาพ่อแม่พี่น้องที่สนามบิน และ Check-in ขึ้นเครื่อง คนไทย 3 คน พร้อมกระเป๋าเดินทาง 22 kg 6 ใบ ก็บินออกจากประเทศโดยสวัสดิภาพ สายการบินเสิร์ฟของว่างเป็นเวเฟอร์ บ๊วย ขนมที่ระบุตัวตนไม่ได้ และน้ำส้มครับ สภาพเป็นขนมร้านโชวห่วยมาก นกแอร์ดูเป็นภัตตาคารขึ้นมาทันทีครับ

          ตามแผนเราต้องไป Transit ที่เซี่ยงไฮ้ประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งพอใกล้จะถึงก็เกิดเหตุผิดปกติขึ้น กัปตันประกาศออกมาด้วยอังกฤษสำเนียงจีนที่แทบจะฟังไม่ออกครับ แต่สังเกตจากอาการคนจีนรอบๆเริ่มบ่นกันเสียงดัง ผมเลยเรียกแอร์มาถาม แอร์ก็พูดอังกฤษไม่ได้ครับ คือตอนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เครียดมาก พอเครื่องแลนดิ้ง เป็นการจอดกลางลาน ไม่มีงวงมารับแบบปกติ แต่เราต้องยืนรอรถบัสสนามบินมารับครับ ซึ่งอากาศที่เซี่ยงไฮ้ตอนนั้นหมอกลงจัด ชื้นและหนาวมาก พอรถมารับก็พาเรามาส่งที่ตึกเล็กๆตึกนึง เดาว่าเป็นตม. ยังคงมีเสียงบ่นปนโวยรายของคนจีนบนเครื่องอยู่ร่ำไป อันนี้คืองงมากเกิดอะไรขึ้น ปกติทรานซิสเครื่องไม่น่าจะต้องทำเรื่องเข้าประเทศขนาดนี้ ถามยามก็ไม่รู้เรื่อง มีแต่ชี้ๆให้เดินตามฝูงชนไปครับ

          โชคดีของพวกผมครับ เจอพี่ที่ไป GC เหมือนกันบนเที่ยวบินนั้นพอดี บังเอิญแบบสุดๆ และเค้าเก่งอังกฤษมากถามมาจนรู้เรื่องว่าวันนั้นสภาพอากาศแย่มาก ทำให้เครื่องเราลงที่สนามบิน Pudong ของเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ เค้าเลยพาเรามาแลนดิ้งอีกสนามบินนึง ซึ่งเราต้องทำเรื่องเข้าเมือง รับกระเป๋า และเดินทางไปสนามบิน Pudong เพื่อต่อเครื่องครับ

         ถ้าไม่ได้พี่คนนี้นี่คงเถียงกะยามอีกนาน จนสุดท้ายอาจจะถูกจับส่งข้ามชายแดนกลับไทยก็เป็นได้ครับ ทุกวันนี้ผมปริ้นรูปพี่เค้าเอาไว้บนหิ้งพระสำหรับกราบไหว้บูชาหลังอาหารสามเวลาไว้เรียบร้อยแล้วครับ

          Process เข้าเมืองในจุดนี้ ใช้เวลานานมากกกก มีทัวน์คนไทยอีกกลุ่มจะต่อเครื่องไปตามซีรี่ย์ที่เกาหลีก็หน้าซีดตามๆกันครับเพราะเวลารอต่อเครื่องเค้าน้อยกว่าพวกเรา สรุปสุดท้ายเราได้วีซ่าเข้าประเทศจีนเรียบรอบ แต่ต้องไปนั่งรอรับกระเป๋า และรอรถจากสนามบินมารับไปที่สนามบิน Pudong ครับ

          ประเด็นต่อมาครับ ตอนนี้เวลามันเลทมากแล้ว และรอรถสนามบินอยู่ชั่วโมงกว่าๆก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะมา กลัวจะต่อเครื่องไม่ทันครับ พวกผมกับคนไทยจำนวนนึงตัดสินใจจึงโบกแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบิน Pudong ครับ โดยต้องฟาดฟันราคากับแท๊กซี่อยู่พักใหญ่ๆ แถมมีเตี๊ยมกัน 2 คันด้วยว่าห้ามตัดราคากัน พอไปถึงคนขับคันผมจะลดให้ ไอ้คันข้างหน้ามีวิ่งมาห้ามด้วย มันน่าจับไปปรับพฤติกรรมจริงๆ สุดท้ายแล้วโดนฟันไป 40$ กับการอัดกันใน Taxi ชม.กว่าๆครับ

สภาพไม่จืดเลย

แต่ในแง่ดีก็ได้มีโอกาสนั่งรถชมเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่แว๊บนึง

          พอเข้าสนามบินไปต้อง Check-in กระเป๋าใหม่ครับ ถามพนักงานก็ไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ไม่ได้ทำการบ้านเรื่องประเทศจีนมา เลยไม่รู้เรื่องการสื่อสารครับ สุดท้ายก็หาเคาเตอร์ Check-in เจอจนได้ แต่ระหว่างรออยู่ได้ยินเสียงเหมือนหมาเห่าดังลั่นขึ้นมาครับ หันไปมองฝั่งตรงข้ามเจอคนจีนคนนึงกำลังทะเลาะกับเคาเตอร์อยู่ครับ ทะเลาะไม่พอสักพักเฮียแกกำหมัดต่อยพนักงานซะงั้น จนรปภ.ต้องวิ่งมาตะครุบให้วุ่นเลยครับ นาทีนี้เป็น #ShanghaiFirstImpression จริงๆครับ

หลังจากเรื่องที่ผ่านมา ทำให้การที่เพื่อนผมถูกเจ้าหน้าที่เรียกให้เปิดกระเป๋าและถามเรื่องน้ำพริกเผากลายเป็นเรื่องธรรมดาไป ท้ายสุดแล้วพวกเราก็ขึ้นเครื่องไปต่อได้ทันเวลาครับ

สุดท้ายก็ Happy Ending

LA - Flagstaff

         ช่วงนี้จะต้องนั่งเครื่องยาว 20 ชั่วโมงครับ ยังคงอยู่กับสายการบิน China Eastern เช่นเดิม ผมเตรียม Netbook ขึ้นมาด้วยสำหรับดูหนังฆ่าเวลา (สมัยนั้นยังไม่มี iPad //อร๊ายย ดักแก่) แต่ก็มีมารผจญครับ ปลั๊กไฟตรงที่นั่งผมมันเสีย ทำให้ชาร์จแบตไม่ได้ สาธุเถอะครับ น้อง Netbook ของผมก็เฉิดฉายได้แค่ 3 ชั่วโมง ทิ้งผมให้เปล่าเปลี่ยวอยู่ 17 ชั่วโมงกับคนจีนข้างที่ไอแค่กๆตลอดทาง จริงๆมีหนังเปิดให้ดูเป็นภาษาจีนซับอังกฤษ แต่สภาพหนังผมเดาว่าน่าจะสร้างมาพร้อมๆกับสายการบินนี่แหละครับ เก่ามากกก แถมจอไซส์เท่าแมว (แปลว่าเล็ก) แถมซับอังกฤษตัวเท่าเล็บแมว (แปลว่าเล็กมาก) ถึงจุดนี้ยอมแพ้ครับ นอนยาวๆดีกว่า

          จบยัง จบยัง ยังไม่จบครับ เครื่องมาถึง LAX ถูกสนามบินนะครับ แต่ผิดเวลา แม่งง Delay ไม่พอครับ แอร์บนเครื่องผู้แสนดีแจกใบตม.ให้ผมเป็นแบบสำหรับคนจีนครับ คือรีบๆกลัวจะตกเครื่อง ต่อแถวจนไปถึงหน้าตม.แล้วโดนเด้งกลับมาเขียนใหม่ น้ำตาจิไหลเป็นสเลอปี้ ดีที่พี่ยามใจดีช่วยลัดคิวให้ครับ พอรับกระเป๋าอะไรเสร็จ ถามพี่ยามว่าต่อเครื่องต้องไปต่อตรงไหน จะทันเครื่อง พี่ยามตอบกลับมาว่า "You better run fast" ซึ่งก็ Fast จริงครับ รถเมล์สาย 8 ยังต้องหลบเลนซ้ายครับ ปิดรับกระเป๋าในอีก 15 นาที ผมอยู่เทอมินอล 1 ต้องไปเทอมินอล 7 ครับ คนปกติเค้าจะรอรถบัสข้ามเทอมินอลกันครับ แต่ของผมคงไม่ทันกิน ต้องวิ่งลูกเดียว

          เจ้าหน้าที่ Check-in กระเป๋าคงสงสารสภาพเรา 3 คนที่มาสภาพเหงื่อกโทรมกาย หอบแฮ่กจนพูดแทบไม่เป็นภาษา เลยยอม Check-in กระเป๋าให้เรา และพูดด้วยเสียงสวยๆว่าบอกว่าเราตกเครื่องเรียบร้อยไปแล้วนะ!! แต่เดี๋ยวเค้าจัดการให้เราขึ้นรอบต่อไปให้ (ฟิ้วว) ซึ่งค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยนึงที่ไม่ต้องเสียค่าตั๋วอีกรอบ แต่ก็ทำให้เราต้องรออยู่ใน LAX อีกประมาณ 8 ชั่วโมง และส่งผลให้เราไปถึง Phoenix ประมาณ 2 ทุ่ม และจะถึง Flagstaff เที่ยงคืนพอดี

นอนสิครับ นานขนาดนี้

          เครื่องบินของ American Airway เป็นเครื่องใบพัดลำเล็ก (ไซส์เดียวกับ Bangkok Airway ไปลงลำปาง) มีแอร์คนเดียวอายุน่าจะใกล้แตะเลข 5 แล้ว วิวระหว่างทางสวยมาก เราจะเห็นแนวสันเขาของแถบ California สวยงามมาก แต่ไม่นานพระอาทิตย์ก็ตก ทำให้เราจะมองเห็นแค่แสงของเมืองใหญ่อยู่ไกลลิบๆ

มาถึงเมืองตรงเวลาาครับ Phoenix สนามบินไม่ใหญ่มาก มีร้านอาหารสองสามร้าน เราเดินออกไปเพื่อขึ้น Arizona Shuttle ต่อครับ ก่อนออกผมโทรไปหาที่พักที่ Flagstaff ว่าจะถึงช้ากว่าที่แจ้ง คือถึงเที่ยงคืนกว่าๆ เค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าทิ้งกุญแจไว้ในรถหน้าที่พัก ไขเข้ามาเองแล้วกัน อืมมม... บางทีไม่ต้องไว้ใจเราขนาดนั้นก็ได้นะ 555 Arizona Shuttle เป็นรถตู้ธรรมดาครับ เบาะจะเป็นเบาะยาว 4 แถว นั่งได้แถวละ 4-5 คนครับ ข้างหลังมีพ่วงตู้เก็บสัมภาระสำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ คืนนั้นทั้งคันมีแค่พวกผม 3 คน ทำให้นั่งกันสบายมาก

           เที่ยงคืนกว่าๆคนขับก็มาปล่อยเราลงหน้าสถานีรถไฟในเมือง Flagstaff สภาพมืดและหนาวควันจนออกปาก ต้องเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ๆคนละ 2 ใบตามหาที่พักที่เราจองไวั ชื่อว่า Grand Canyon Hostel เป็น Dorm ราคาคืนละ 19$ เราเดินหาจนเจอปรากฎว่า Host เค้ายังไม่นอน นั่งรอพวกเรา ใจดีมากๆครับ เราพักกันในห้องเตียงสองชั้น 2 เตียงครับ มีฝรั่งมานอนก่อนแล้วคนนึง พอพวกเราถึงเตียงก็หลับไปแทบจะทันทีครับ


Flagstaff - Grand Canyon Feat. Social Security Service

         สำหรับคนที่มา Work&Travel ภารกิจแรกที่ต้องทำที่เมืองนี้คือทำ Social Security Card ครับ อธิบายง่ายๆมันคือบัตรประชาชนครับ และบัตรนี้จะผูกติดกับเราตลอดชีวิตแม้ว่าจะ Work จบไปแล้วนะครับ ซึ่งการจะทำบัตรที่ว่านี่ เราต้องไปติดต่อ Social Security Service ที่อยู่ในเมืองนี้ครับ ซึ่งคิวจะยาวมากตามแบบฉบับหน่วยงานราชการ ถ้าอยากจะขึ้น Grand Canyon ภายในวันนั้น (ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงโดย Arizona Shuttle)  ต้องทำบัตรให้เสร็จก่อนเที่ยงครับ เพราะที่ทำงานบน GC จะปิดสี่โมงครึ่ง ถ้าขึ้นไปถึงหลังจากนั้นนายจ้างเราจะไม่สามารถทำเรื่องให้ที่พักพนักงานกับเราได้ อาจจะต้องเสียค่าโรงแรมบนนั้นไปอีกคืนครับ ดังนั้นจึงควรไปที่ Social Security Service แต่เช้าครับ เพื่อให้เสร็จทันเที่ยงแน่ๆ

         ทีนี้ตอนพวกผมไป ที่พักเค้าจะมีบริการเตรียมรถพาไปส่ง Social Security Service แต่เช้าครับ แต่เกิดการสื่อสารผิดพลาดนิดหน่อย เราเข้าใจเวลาผิดไปทำให้ตกรถรอบแรกครับ ถ้าไปเองจะช้ากว่ามาก  พวกเราเลยรอรถรอบสองจะช้ากว่ารอบแรกชั่วโมงนึงครับ พอไปถึงดูสภาพพอเดาได้ว่าคงเสร็จไม่ทันเที่ยงแน่ๆ พอกลับมาเลยคุยกับ Host ว่าจะอยู่ต่ออีกคืน แต่ห้องเต็มแล้ว Host เลยช่วยจองที่พักที่อยู่ใกล้ๆกับที่นี่อีกคืนโดยได้ราคาเท่ากันครับ (แต่ที่พักอันหลังดีกว้างกว่าเยอะ 55)

ที่พักคืนแรกครับ ไม่ได้ถ่ายรูปเตียงมาให้ กลัวคนที่นอนจะด่าเอา

ที่พักคืนวันที่ 2 ครับ มีห้อง Rec. ด้วย อยู่ใกล้ๆกันแต่จำชื่อไม่ได้แล้วครับ

         พอทำบัตรเสร็จ ตอนบ่ายจึงว่าครับ เลยมีเวลาสำรวจเมือง Flagstaff นิดหน่อย โดยหลักๆที่เราทำคือไปซื้อซิมโทรศัพท์ครับ (ตอนแรกกะจะไม่ใช้) โดยไปที่ Wal-Mart ห้างใหญ่ที่สุดในเมืองครับ เมืองนี้มีรถบัสวิ่งรอบเมืองครับ แต่ละป้ายรถจะมีแผนที่การเดินรถให้ดู เราขึ้นให้ถูกสายก็จะไปได้ทั่วครับ นอกจากเรื่องซิมแล้ว สิ่งที่แนะนำให้เตรียมขึ้นไปจากที่นี่เลยคือ กะทะไฟฟ้า และกล่องโฟม(ไว้เก็บของสด บนนั้นมีน้ำแข็งให้กดฟรี) ถ้ามีที่เหลือก็ซื้อพวกอาหารสดขึ้นไปเผื่อด้วยก็ได้ครับ บน GC มี Market ก็จริง แต่ของราคาแพงและมีน้อยครับ อารมณ์เหมือน Lotus Express เท่านั้นเอง

รถบัสครับ จะมีคล้ายๆชุมทางอยู่เป็นจุดๆ จะมีหลายป้ายมาก

สภาพเมืองครับ เป็นเมืองเล็กๆสไตล์ตะวันตก

First Snow ของพวกเรานะครับ 555

         วันรุ่งขึ้นพวกเราจอง Arizona Shuttle รอบเช้าตรู่เพื่อขึ้นถึง GC ให้เร็วที่สุดครับ สิ่งที่ควรระวังสำหรับเมืองนี้คือมันมีรางรถยาวมากตัดผ่านเมืองอยู่ช่วงนึง ถ้าเกิดคุณมาตอนรถไฟผ่านมาพอดีแบบพวกผมคุณอาจจะไปทำงานสายได้ เพราะรถไฟมันยาวมากกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว จำได้ว่ากำลังรีบไปขึ้นรถแต่ต้องมานั่งรถรอไฟแล่นผ่านสิบกว่านาที

         วันนั้นคนไปเยอะครับ นั่งกันเต็มคันรถเลย เส้นทางไป Grand Canyon ช่วงแรกจะเป็นถนนเส้นตรง แล่นผ่านทุ่งโล่ง และเนินเขาเตี้ยๆ จะมีช่วงสุดท้ายที่จะเป็นทางขึ้นเขาที่โค้งนิดหน่อย ระหว่างทางจะสังเกตเห็นสปอตคาร์เรื่อยๆครับ ประเทศนี้รถไม่เสียภาษีนำเข้าแบบบ้านเรา เพราะงั้นขณะที่บ้านเราขับซีวิค บ้านเค้าก็ขับมัสแตงค์/คาเมโรครับ

เบียดเสียดแบบชิลๆ

ทุ่งโล่งยาวสุดสายตา

จะมีขึ้นเขาลูกเล็กๆบ้างครับ บนเขายังมีหิมะที่ยังไม่ละลายอยู่

          สี่ชั่วโมงผ่านไป และแล้วเราก็เข้าสู่ Area ที่เรียกว่า Grand Canyon Historic Village อันจะเป็นที่ทำงาน และบ้านของพวกเราไปอีกเกือบสามเดือนครับ กว่าจะถึงเล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็นครับ ขอจบ PHASE II เพียงเท่านี้ครับ สำหรับคนที่มาเที่ยวนะครับ ภายใน Village มีบริการรถบัสวิ่งไปแทบจะทุก Attraction ครับ โดยจะเเบ่งเป็นสีๆเช่น Red Route, Orange, Route Blue Route แต่ล่ะสีก็จะวิ่งจอดตามจุดชมวิว ที่เที่ยว หรือ Trail ที่ต่างกันครับ และจะมีบริการ Day Tour ต่างๆสำหรับคนที่อยากเก็บแต่ Main Attraction ครับ รายละเอียดไว้จะมาเล่าใน PHASE ต่อๆไปครับ วันนี้ขอจบ PHASE II แต่เพียงเท่านี้ครับ ไว้จะมาเขียน PHASE III ที่เป็นเรื่องงานและการใช้ชีวิตบน GC และ PHASE IV การท่องเที่ยวใน GC และหลังจากจบงานครับ

ขอปิดด้วยรูปๆแรกที่ผมถ่ายหลุมยักษ์แห่งนี้ ในวันแรกที่มาถึง Grand Canyon South Rim ครับ


PHASE III - Show Time!!

ในที่สุดก็ถึงเริ่ม Work จริงๆกันซะทีนะครับ (ถ้าอยากจะ travel ต้องรอ Phase หน้านะ หึหึ) จากที่นั่งรถขึ้น GC มาแล้ว Arizona shuttle จะมาส่งเราหน้าที่ทำการของ Xanterra ครับ เราต้องเข้าไปทำเรื่องเข้างานก่อน รายละเอียดนี่ไม่เหลือในหัวแล้ว ว่าเข้าไปทำอะไรบ้างครับ Orz แต่เราจะออกมาพร้อมกระดาษที่ระบุว่าเราทำงานอะไร เอกสารเยอะแยะ คู่มือกฎระเบียบต่างๆของ Xanterra และกุญแจเคบินครับ โดยต่อจากนี้จะแบ่งอธิบายเป็นหัวข้อๆนะครับ

Introducing Our Village: ถื่นฐานใหม่เรา

          จากที่ได้กล่าวมาเมื่อตอนต้น (หรืออาจจะยังไม่ได้กล่าว มันยาวจำมะได้ 55) บริเวณที่เราอยู่เรียกว่า Grand Canyon Historic Village บริเวณขอบด้านใต้ของหลุมยักษ์แห่งนี้ จุดนี้จะเป็นจุดชมวิวที่เรียกว่า Bright Angel ครับ ซึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ทั้งที่พัก Restaurant Cafeteria Pub Clinic Market Store Recreation Center Bank Post Office Amphitheater Shrine และ Cemetery

http://www.grandcanyongrandhotel.com/assets/SRVillageMap.jpg

ภาพดาวเทียม

https://www.google.co.th/maps/place/Grand+Canyon+Village,+AZ+86023+%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2/@36.0566005,-112.14118,421m/data=!3m1!1e3!4m2!3m1!1s0x8733174f95ffe325:0xb8ccc2749a229ea1

The Job งานหนักเราไม่เอา งานเบาเราก็อู้

          นี่คงเป็นประเด็นที่เด็กเวิร์คทุกคนกระวนกระวายอยากรู้มาก ว่างานที่เราหลวมตัวเลือกจะไปทำเนี่ย มันสนุกสนานขนาดไหน สำหรับการ Work&Travel ในที่ๆไม่ดังหรือเป็นกระแสนิยมอย่าง Six Flag หรือ Disney เรามีโอกาสครึ่งๆจะเจองานที่ดีและไม่ดีครับ ไม่ว่าจะไม่ดีจากตัวเนื้องานที่ลำบากกว่างานทั่วไป นายจ้างที่เอารัดเอาเปรียบ หรือว่าความผันผวนของฤดูการทำให้ไม่มีงานทำ (ปสก.จริงจากเพื่อนที่ไปทำผ่านเอเจนซี่อื่นครับ ไปแล้วไม่มีงานทำ เอเจนซี่ก็ไม่ช่วย ขาดทุนยับกลับมา) แต่ทางเอเจนซี่เองนั้นก็จะมีการตรวจสอบ Feedback อยู่เรื่อยๆว่านายจ้างโอเคแค่ไหนครับ ส่วนของเอเจนซี่"ข้ามทะเล"ที่ผมไปด้วยนั้นมีการติดตามเด็กที่ไปด้วยทางอีเมลเป็นระยะครับ และส่งข่าวเรื่อยๆเช่น ช่วงหนึ่งมีเฮอริแคนที่รัฐแถวนั้นพี่ๆเค้าก็ส่งเมลมาแจ้งให้ระวังครับ หรือมีเพื่อนร่วมโครงการที่ป่วยก็จะมีเมลมาบอกให้เพื่อนที่เหลือช่วยดูแลครับ ค่อนข้างประทับใจทีเดียว

         ในส่วนของงานในหลุมแห่งนี้นะครับ เท่าที่ผมจำได้จะมีงานให้เลือกสมัครหลักๆ 4 อย่าง + งานเสริมที่เราไปขอทำเองที่นั่นได้นะครับ โดยขออธิบายงานหลักก่อน จะเป็นงานที่มีให้เลือกตอนสมัครที่เมืองไทยครับ

1.Guest Room Attendant (GRA) หรือ Housekeeping นั่นเอง เป็นงานที่ผมสมัครเข้าไปทำในโครงการนี้ เพราะงั้นทำใจเลยว่ารายละเอียด+Complain เพียบแน่นอน เพราะมันเป็นงาน Routine ที่สุดในสามโลกครับ #งานอื่นๆก็เช่นกัน

- GRA จะทำได้หลายโรงแรมใน GC ครับ ไม่ว่าจะเป็น El Tova Kachina Thunderbird Bright Angle Maswik และ Yavapai ครับ โดยผมอยู่ที่ Yavapai (ทางด้านขวาของ Map) เป็นห้องพักแบบ Motel จะราคาถูก อยู่ไกลที่พักเรา ทิปน้อย งานโหด ถ้าอยากมีชีวิตดี๊ดี พยายามขอไปทำที่ El Tova เป็นโรงแรม 4 ดาว ทิปดีมากวันนึงหลายสิบเหรียญ แถมบางทีจะได้ไวน์กลับมาเป็นขวดเลย (มีเพื่อนในกลุ่มผมคนนึงไปทำที่นั่นครับ ได้ไวน์มาเต็มเคบินเลย)

- หลักๆคือเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว ดูดฝุ่น เช็ดถูห้องน้ำ เอาขยะไปทิ้ง และปัดฝุ่นนิดหน่อย

- เราจะมีอุปกรณ์ประจำตัวคือรถเข็นใส่ของ แต่ล่ะคันจะมีพวกน้ำยาทำความสะอาด ผ้าขี้ริ้ว (Rag) ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน ผ้าปู และพวกชา กาแฟสำหรับเติมในห้องแขก

- เตือนก่อนเลยว่า มีโอกาสสัมผัสสิ่งปฏิกูล แต่เรามีถุงมือยาง และ Rag ค่อยป้องกัน

- ในตอนเช้าแต่ละวันเราจะได้รายการห้องพักที่เราจะต้องไปทำ เฉลี่ยๆก็วันละ 15 ห้อง ทำยาวๆจนเย็นไม่มีพักเที่ยง จะกินข้าวต้องตอกบัตรออกไปกินตอนเที่ยง ซึ่งผมกับเพื่อนๆส่วนใหญ่จะทำข้าวกล่องไปกินกันระหว่างจัดห้องครับ จะได้ไม่เสียชั่วโมง

- ถ้าโชคดีเราก็จะได้ห้อง Stay Over คือห้องที่พักมากกว่า 1 คืน ห้องแบบนี้จะไม่ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เข้าไปจัดเตียงกับเคลียร์ห้องน้ำก็เสร็จ

- ถ้าโชคดีมากๆจะเจอทิป ขนม เบียร์ ไปยันรองเท้าเดินป่า ที่แขกทิ้งไว้ไม่เอากลับ อันนี้เราสามารถเก็บกลับไปใช้เองได้โดยชอบธรรม แต่ถ้าโชคร้าย Supervisor นิสัยไม่ดี เค้าจะเข้าไปเก็บของพวกนี้ก่อนตั้งแต่เช้า แล้วค่อยให้กุญแจเรา อันนี้อยู่ที่ดวงครับ ตอนผมจะเจอวันล่ะห้องสองห้อง 1-5$ ครับ

- งานนี้ไม่ได้พบปะผู้คนใดๆทั้งสิ้น มีแค่ Supervisor ที่คอยเดินตรวจเรา กับเพื่อนๆที่เกินสวนกัน ถ้าหวังภาษาคงได้แค่ภาษาเตียงกับภาษาส้วมอ่ะครับ 555 การปฏิสัมพันธ์กับแขกจะมีต่อเมื่อ มีแขกต้องการกาแฟ หรือผ้าขนหนู แล้วเดินมาหา หรือเราเคาะประตูจะเข้าไปทำห้องแล้วแขกยังอยู่

- ดังนั้นคำพูดหลักๆเวลางานก็จะมีแค่ 4 ประโยค คือ 1."House Keeping" (พร้อมเคาะประตู) 2."House Keeping" (พร้อมเคาะประตูครั้งที่ 2) 3."House Keeping" (พร้อมเคาะประตูครั้งที่ 3) กับ 4."Sorry, I will come back later" กรณีแขกยังอยู่ในห้อง

- เราจะเมื่อยล้าจากการจัดเตียงและขัดห้องน้ำ ในช่วงแรกๆมือจะแห้ง และลอกจากการเสียดสีกับเตียง (ก็ทำวันละ 30 เตียงนิ) บางคนถึงกับแพ้เป็นรอยแดงก็มี

- อีกา(Raven)คือศัตรูของเราครับ ถ้าเราทิ้งถุงขยะไว้นอกห้องนานไป มันจะลงมาจิกถุงขาดและลากขยะกระจุยกระจายไปหมด เลวร้ายมากเราต้องไปตามเก็บวุ่นวายไปหมด

- บอกไปยังว่าอีกาที่นี่ตัวเท่าแม่ไข่เขื่องๆ ปากเจาะทะลุขวดนมได้ บรึ๊ยยยย

- ศัตรูอีกตัวนึงของเราคือไฟฟ้าสถิตย์ครับ ที่นั่นอากาศแห้งมาก แค่เราดึงผืนผ้าสักหลาด มันก็จะช๊อตเราดังเปรี๊ยะ ครับ ช๊อตแบบเจ็บจริงจังด้วย ไม่ใช่แบบเดินสวนกันในห้างแล้วช๊อต

- วันไหนพายุหิมะเข้าตอนบ่ายคือฝันร้ายของเรา เนื่องจากรถเข็นจะโดนถมด้วยหิมะ เมื่อเข้าไปในห้องทุกอย่างจะละลายเละไปหมด

- ช่วงต้นมีนา จะงานน้อย บางวันไม่ถึง 10 ห้อง แต่พอเข้าเมษางานจะเต็มโหลด 15 ห้อง ถ้าทำเรื่อยๆชิลๆก็จะเสร็จตามเวลาพอดี ที่นี่จะไม่ยอมให้ทำเกินเวลา เค้าจะลากคนอื่นมาช่วยถ้าเราช้า และจะโดนเหวี่ยงนิดหน่อย เพราะงั้นเงินเดือนคิดง่ายๆเลย rate x 8 hrs x 22 (สมัยผม 7.65$)

- ส่วนใหญ่พวกเราจะรีบๆทำ แล้วค่อยนั่งอู้ห้องสองห้องสุดท้าย ถ้าเสร็จเร็วก็จะโดนลากไปช่วยคนอื่น (ตอนผมไปเจอชาวฟิลิปิน ซึ่งทำช้ามากกก มัวแต่ร้องเพลงลั้ลลา เราต้องไปช่วยประจำ)

- เราจะได้หยุดอาทิตย์ละ 1-2 วันแล้วแต่ตารางว่าได้หยุดวันไหน โดยจะผลัดกันหยุดกับเพื่อน ซึ่งในวันหยุดเราก็สามารถขอมาทำงานได้ถ้าอยากได้เงินเพิ่มเรียกว่า Extra

- ผมทำ GRA อยู่เดือนเดียวจากนั้นก็ขอย้ายงานไปเป็น Laundry Utilities แทน (เดี๋ยวจะเล่าในอีกหัวข้อ)

ชุดมาตรฐานของ GRA ครับ (ขอยืมเพื่อนมาเป็นแบบนิสนึงนะะ -/\-)

คู่รักคู่แค้น ฟัดกันทุกวัน มันคือเตียงนั่นเอง

2.Hospitality อันนี้ Require Basic English Skill  เป็นงานส่งแขกเข้าโต๊ะอาหารในภัตตาคารของ El tova เป็นงานสบายไม่ต้องใช้แรงกาย ได้ใช้ภาษาพบปะผู้คน แต่รายได้น้อย(ถ้าจำไม่ผิด) และไม่ได้ทิป

3.Kitchen Utility(KU) คืองานล้างจานในครัว ซึ่งเหนื่อยไม่แพ้ Housekeeping แต่งานนี้มีลู่ทางให้เป็นใหญ่เป็นโตได้ โดยต้องพยายามไปทำที่ El tova (อีกแล้ว) โดยถ้าภาษาดี อัธยาศัยดี หาเส้นสายได้เราจะได้เลื่อนขั้นเป็น Busser เด็กขายน้ำ เอ้ย เด็กเสิร์ฟน้ำ หน้าที่คือคอยเติมน้ำให้กับแขก ซึ่งงานนี้เงินเดือนไม่ได้เยอะเท่าตระกูลแรงงานอย่าง GRA แต่เราจะได้ส่วนแบ่งทิปจาก Server วันล่ะเกือบร้อยเหรียญ ส่วนงานเด็กเสิร์ฟ หรือ Server นั้นแทบไม่มีคนไทยได้เข้าไปทำ ต้องอาศัย English Skill ระดับเจ้าของประเทศ แต่รายได้ดีมากกกกจากทิปวันนึงหลายร้อยเหรียญ (ธรรมเนียมที่นั่นจะทิปพนักงานเป็น 15-20%ของค่าอาหารทซึ่งภัตตาคารนั้นอาหารโค-ตะ-ระแพง)

El Tova มองจากไกลๆ

4.Cashier/Retail ก็งานตามชื่อครับ ร้านอาหาร/ขายของที่ระลึกใน GC มีหลายร้าน อยู่ที่ว่าเราจะได้ไปที่ไหน ส่วนใหญ่จะเป็นคนฟิลิปินที่ทำงานนี้ ผมจึงไม่ค่อยรู้รายละเอียด

5.Line Server คืองานตักอาหาร แต่ต้องทำอาหารนิดหน่อยในบางร้าน ข้อดีคือจะได้อาหารที่เหลือในวันนั้นกลับมากิน ผมมีลูกน้องคนนึง (ตอนทำ Laundry) เค้ามาทำ Extra ที่นี่ ชื่อ Rico ละตินอเมริกันวัย 30 ปลายๆขึ้นมาจาก LA เวลาผมไปกินร้านที่เค้าเป็น Line Server เค้าก็จะตักให้เยอะเป็นพิเศษ บางทีให้ไก่ทอดแล้วเอาเฟรนฟรายเททับ Cashier ก็จะคิดแค่ราคาเฟรนฟราย (มีหลายๆคนก็ใช้วิธีนี้ โดยกลบกันเองครับ แต่อันนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่)

ต่อมาเป็นหมวดของงานเสริม หรือ Extra Job นะครับ จะไม่มีให้เลือกตอนเราสมัคร แต่สามารถมาขอทำตอนหลังได้ โดยบางงานก็จะทำได้แค่ Extra บางงานก็สามารถทำเป็นงานประจำได้เลยครับ

1.Laundry Utilities งานนี้ส่วนใหญ่ GRA จะนิยมมาทำตอนเย็นหลังเลิกงาน เป็นกะดึกห้าโมงถึงสามทุ่ม โดยหลักๆคือการเอาผ้าที่ซักแล้วมาใส่เครื่องพับอัตโนมัติ ไม่มีอะไรมาก หยิบผ้ามาหนีบลงในช่อง หรือใส่ในเครื่อง ทำซ้ำๆไปเรื่อยๆ ซึ่งแรกๆผมก็มาทำได้สักพักที่นั่นคนขาดจึงมาประกาศรับสมัคร ผมกับเพื่อนที่ไปด้วย และพี่อีกคนที่ทำที่เดียวกันเลยขอย้ายไปทำเป็นงานประจำครับ

         ผมทำไปช่วงแรกจะเป็นพวกพับผ้านี่แหละ สักพักได้เลื่อนขั้นเป็น Washer เงินเดือนขึ้นมาสเตปนึง แต่งานหนักขึ้น 10 สเตป! ขึ้นชื่อว่า Washer หรืองานซักผ้า ชื่อดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่งานนี้เหมาะสำหรับชายชาตรีหุ่นกำยำ เพราะเป็นงานแรงงานสุดๆ เมื่อเครื่องซักผ้าสูงเสียดเพดาน ซักผ้าทีล่ะ 200 kg ยกเข้ายกออกจนกล้ามขึ้น ยิ่งผ้าเช็ดตัวเปียกนึ่ เอาออกที น้ำตาจะไหล

อันนี้ทำนานเลยมีเวลาถ่ายรูปบ้าง แต่ไม่ค่อยชัดนะครับ ปลายยุคสมัยโนเกียยังรุ่งเรือง #ดักแก่ #N85 #ไม่น่าหลวมตัวซื้อมาเลย

สเตปการทำงานใน The Main Laundry

         ต้องไปที่ทำงานให้เป็นซะก่อนนะครับ The Main Laundry จะอยู่ซ้ายสุดหลุดขอบแผนที่ไป (ต่อจาก Kennel) ต้องเดินไปอย่างเดียวครับ ถ้าพักแถว Maswik ก็จะสบายหน่อย

ด้านหน้าจะเป็น Dock สำหรับให้รถบบรทุกจอดนะครับ

         ที่นี่จะมี Driver 2 คนชื่อ Jimmy (Senior) และ Jimmy (Junior) ครับ คาดเดาว่าเป็นพ่อลูกกัน แต่หน้าตาต่างกันราวฟ้ากับเหว คนพ่อหน้าออกตี๋ๆนิดหน่อย ตัดผมเกรียน ส่วนคนลูกนี่เป็น Native American เต็มตัว ไว้ผมเปียยาวๆครับ ในวันที่ผ้าไม่เยอะ Jimmy คนลูกชอบชวนผมกับเพื่อนติดรถไปช่วยขนผ้าครับ แกเป็นคนเสียงดัง เวลามาถึงจะตะโกนโหวกเหวกทักทายเล่นหัวกับเพื่อนร่วมงานเป็นประจำครับ ในตอนเช้าสองคนนี้จะขับรถบรรทุกตระเวนไปตามโรงแรมต่างๆ เพื่อเอาผ้าซักแล้วไปส่ง (ผ้าจากกะดึกเมื่อวาน) และเก็บถุงผ้าสีแดง/เหลือง(ผ้าปูที่นอน) ถุงสีน้ำเงิน(ผ้าเช็ดตัว) และถุง Rag (สกปรกมากกก) ซึ่ง GRA ที่ทำห้องจะเป็นคนนำผ้าใช้แล้วใส่ และลากถุงเหล่านี้มารวมให้ Driver มาเก็บแล้วนำมาโหลดลงที่นี่ครับ งาน Driver นี่เป็นงานแรงงานระดับ Max ครับ เพราะต้องแบกหามถุงผ้า และตระกร้ามาขึ้นรถที่สูงมาก บางครั้งต้องโยนเข้าไปซึ่งใช้แรงทั้งตัวเหวี่ยงครับคนตัวเล็กๆไม่น่าทำไหวครับ

         เมื่อรถมาจอดอันนี้เป็นหน้าที่ Washer ต้องลากถุงผ้ามาใส่กระบะเพื่อลากไปหน้าเครื่องครับ ส่วนถุงที่เหลือก็เก็บในช่องครับ ซึ่งรถจะขนผ้ามาเรื่อยๆตลอดทั้งวัน ถุงผ้าในช่องก็จะสูงท่วมหัวดังรูปครับ

Washer หลักๆนอกจากผมและเพื่อนอีก 2 คนจะมีฝรั่งอีก 2 คนครับ คือ Jay/John (แล้วแต่อารมณ์เฮียแกว่าวันนี้อยากชื่ออะไร) และ Shaun ครับ สองคนนี้จะกัดกันตลอด Jay/John เป็นวัยรุ่นอายุใกล้ๆผมครับ แต่สูงเกือบ 2 เมตรได้ ชอบเล่นเบสบอล เฮียแกก็จะแต่งตัวแนวนักเบสบอลตลอด ไม่เคยเห็นเค้าถอดหมวกแก๊บออกเลย คนนี้จะสนิทกับพวกเราเพราะรุ่นใกล้ๆเล่น จะเล่นด้วยกันตลอดครับ ส่วน Shaun จะหุ่นก้างๆผอมสูง ผิวขาวซีด ใส่แว่นตาครับ คาแรคเตอร์แทบจะตรงข้ามกับ Jay/John จะดูเหมือนมีปัญหาทางสมองนิดๆ ชอบบ่นงึมงัมคนเดียว บางทีก็มางึมงัมใส่เรา (จริงๆคือแกพูดเร็วมากจนเราฟังไม่ทัน) ชอบออกคำสั่ง(แต่สั่งเราไม่ได้ ตำแหน่งสูงเท่ากัน 55) แรกๆก็เกรงๆกลัวเค้าจะเอาอะไรมาฟาด หลังๆเริ่มชินครับ เค้าบ่นอะไรก็หูทวนลมไป จริงๆเค้าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่นิสัยแปลกๆเข้ากับคนอื่นๆไม่ได้เท่านั้นเอง สองคนนั้นตัวสูงใหญ่และแรงมหาศาลทั้งคู่ งานนี้จึงดูชิลมากแต่คนไทยตัวเล็กๆอย่างเรานี่แทบจะเลือดตากระเด็นครับ (จะมีบรรดา Washer กะเช้าอีกสองสามคนครับ แต่ผมไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เนื่องจากทำแต่กะบ่าย)

         การซักผ้าแยกหลักๆคือผ้าเช็ดตัว กับผ้าปูที่นอนครับ เครื่องซักจะต่างกับตามรูปครับ

เครื่องซักผ้าเช็ดตัว Load 100 Kg และ 200 kg ครับ เครื่องหลังเอาไปซักผ้าปูที่นอนได้ด้วย

เครื่องซักผ้าปูที่นอน Load 100 Kg

เครื่องอบผ้าเครื่องเล็กครับ (เครื่องใหญ่ไม่มีรูปแต่ขนาดใหญ่สุดแล้ว สูงถึงเพดานครับ)

Process ก็ไม่มีอะไรมาก เราเอาผ้ายัดเข้าเครื่องให้แน่ เดินเครื่อง แล้วก็เอาออกครับ แต่เรากำลังพูดถึงของหนักรวมๆ 100 kg ครับ แถมขาออก Yield เพิ่มจากน้ำที่ติดมาด้วย มันคือ #งานกล้าม ครับ สำหรับผ้าเช็ดตัวต้องเพิ่มการอบผ้าเข้าไปด้วยครับ โดยโยนเข้าเครื่องอบผ้าได้เลยครับ พออบเสร็จก็กดปุ่มให้ลูกสูบไฮดรอลิกเทลงอีกฝั่ง ซึ่งเครื่องมันใหญ่อลังการมาก ยังกะอุโมงลมที่ใช้ทดสอบจรวด

ยัดเข้าเรียบร้อย

ปั่นเลย (นน.ไม่พอเครื่องจะส่าย ต้องช่วยกันถ่วง)

เอาออก ผ้าปูที่นอนถ้าพันกันนี่ต้องใช้ 2-3 คนดึงถึงจะยอมออกมา

          พอผ้าออกมากองในกระบะเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นงานของ Laundry Utilities ครับ คนที่มาทำ Extra ก็จะทำงานนี้ รวมถึงจะมีคนที่ทำประจำเป็นบรรยาคุณตาคุณยายวัยเกษียณอายุครับ บางคนพูดด้วยยังไม่ค่อยได้ยินเลย แก่แล้วหูไม่ดีครับ 555 งานหลักๆจะยุ่งอยู่กับบรรดาซักแล้วครับ โดยเอาผ้าเหล่านั้นใส่เครื่องพับอัตโนมัติ ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนผ้าหมดครับ อันนี้ไม่หนักแต่น่าเบื่อครับ ผมจะหลับตลอดเลย

ผ้าปูที่นอนซักแล้วจะกองรออยู่หน้าเครื่อง

เอามุมผ้ามาหนีบกับที่หนีบครับ ต้องทำเป็นคู่หัวท้าย แล้วก็กดปุ่ม

เครื่องมันจะดึงเข้าไปรีดและผับส่งออกอีกฝั่งเรียบร้อย

คนอีกฝั่งจะเป็นงานสบายที่สุด คือคอยเอาผ้าขึ้นสายพาน ซึ่งผ้ามันไหลออกมาจะถึงสายพานอยู่แล้ว เราแค่ดึงมันต่อไปอีกประมาณ 1 ฟุตครับ แต่คนตรงนี้ต้องคอยตรวจด้วยว่าผ้าปูไหลออกผิดปกติรึป่าว และต้องกด Reject ออกครับ

ผ้าเช็ดตัวจะเครื่องเล็กหน่อย ใช้ 1 คนทำโดยเอาผ้าสอดเข้าไปในลูกกลิ้งครับ เครื่องมันจะพับให้เสร็จสรรพ

ออกมาประมาณนี้ แล้วเราก็ยกไปวางบนสายพาน

ปลายทางคือห้องเก็บผ้า ก็จะมีคุณป้าคอยแปะป้ายว่าเป็นผ้าที่ไหนและยกเข้าชั้น รอให้ Driver เอาผ้าไปส่งครับ

         โดยคนที่เป็น Lead คอยคุมงานทั้งหมด ชื่อว่า Charles เป็นชาวเคนย่าที่ขอใบอนุญาติเข้ามาทำงานที่นี่ครับ เป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส่ตลอด จะพูดไทยได้เป็นคำๆจากการที่เด็ก Work รุ่นก่อนๆสอนให้ครับ เช่น ดี/เลว เร็วๆ ประมาณนี้ เค้าจะเป็นคนชี้เป้าว่าต้องซักผ้าที่ไหนก่อน พับที่ไหนก่อน แกจะช่วย Laundry Utilities ทำงานบางส่วนครับ และงานจับฉ่ายอื่นๆนิดหน่อย แต่หลักๆแกจะชอบไปคุยกับสาวๆมากกว่า 555 เป็นนายที่ดี และรู้สึกอบอุ่นที่ได้ทำงานด้วยครับ พวกผมจะอยู่ปิดตึกกับเค้าทุกคืน คอยเอาเครื่องพ่นลมพ่นไล่ฝุ่น (เครื่องมันแรงมาก พ่นใส่รองเท้าคือเชือกรองเท้าหลุดกระจายเลย) ครับ ถ้าผ้าปูฝืนไหนที่ไม่ใช้แล้ว เค้าก็จะให้เราเอากลับเคบินครับ

หัวหน้าผู้ใจดีครับ คนด้านหลังคือ Shaun ครับ

ทำงานจับฉ่ายทุกอย่าง

เครื่องแบบของ Laundry จะชิลกว่า GRA ครับ โดยจะเป็นเสื้อยืดกับถุงมือ กางเกงกับรองเท้านี่อิสระครับ ขาสั้นไปทำก็ได้

รายละเอียดอื่นๆนะครับ จะทยอยมาเติมถ้านึกได้

- ทำงานเป็นกะที่เวลาแปลกกว่าชาวบ้านเค้า มี 3 กะคือ กะเช้า 06.00-15.00 กะสาย 10.00-17.00 กะดึก 12.00-21.00 ซึ่งผมประจำกะดึกตลอด เพราะงั้นอย่าถามว่าตื่นเช้าเป็นยังไง 555

- OT กระจายวายป่วง เคยทำถึงตี 3 เฉลี่ยได้เดือนละ 1,400$ เรียกว่าคืนทุนทั้งค่าตั๋วและค่าโครงการครับ

- ถ้าผญ.ไปทำก็จะสบายกว่า เพราะเค้าจะไม่ให้ไปแบกหาม อยู่แต่กะเครื่องพับผ้าอย่างเดียว

- เป็นงานที่เสี่ยงอันตรายกว่างานอื่นๆใน GC ทั้งจากเครื่องจักรขนาดใหญ่ เครื่องซัก เครื่องอบ เครื่องพับ ซึ่งเราต้อง Operate มัน รวมถึงผ้าที่ส่งมาให้เราซักจะปนเปื้อนอะไรมาบ้างก็ไม่รู้

- มุมสนุกของมันคือ เรามีเพื่อนร่วมงานที่คุยเล่นด้วยได้ทั้งวัน เนื่องจากเป็นงานที่ไม่มี KPI ว่าวันนึงจะต้องทำแค่ไหน ซักให้ได้เยอะที่สุดเป็นอันพอ เครื่องซักก็มีจำกัด ทำให้เราทำไปเรื่อยๆชิลๆ มีเวลาว่าง 5-10 นาทีระหว่างวัน

- อู้ได้ พี่ที่ไปด้วยชอบนั่งเล่นเกมในห้องน้ำประจำ

- เป็นการลดน้ำหนักอย่างนึง! ทั้งๆที่ผมตื่นมากินข้าวตอนสายๆ กินเที่ยง ห้าโมงออกมากินเย็น เลิกงาน 4 ทุ่มกว่าๆ ก็ซื้อกินอีก แถมน้ำก็กินพวกโค้ก รูทเบียร์ทุกมื้อ ตอนทำงานก็ชงโกโก้ กดขนมตู้กินทุกวัน ยังไม่รวมเบียร์จำนวนมหาศาลในยามค่ำคืน แต่พอกลับมาไทยชั่งนน.แล้ว มวลมันหายไปไหนไม่รู้ 10 kg!

2.Front Desk อันนี้ไม่น่าจะรับกันง่ายๆ มีเพื่อนที่ไปด้วยภาษาดีมากจริงๆเลยได้ย้ายไปทำงานนี้ เนื้องานก็ตามชื่อเลยครับ ค่อนข้างกดดันเพราะจะรับมือกับแขกที่มา Complain ตลอด

3. Porter คนกวาดพื้น หน้าที่ก็ตามนั้นกวาดไปเรื่อยๆ ถ้าได้กะดึก และทำที่ El tova จะสบายมาก แทบไม่ต้องปัดกวาดอะไรมากมาย แต่ไม่แนะนำให้ทำเป็นงานประจำ เนื่องจากตำแหน่งนี้จะบรรลัยเมื่อหิมะตก ทุกทางเดินจะเป็นหน้าที่เราต้องไปตักออก #งานกล้าม

4.House Person เป็นผู้ช่วย GRA ครับ โดยจะคอยเก็บถุงผ้าไปให้คนรถ เติมของในตระกร้า ช่วยทำเตียงถ้าทำไม่ทันครับ แต่ไม่แน่ใจว่าเค้าจะให้ Extra บ่อยแค่ไหน ส่วนใหญ่ถ้าไปขอจะได้ทำ GRA มากกว่าครับ

          คำแนะนำนะครับ เนื่องจากเราจะเริ่มงานในวันที่เราตกลงกับนายจ้างตั้งแต่อยู่ไทยครับ ซึ่งควรเผื่อเวลาให้มาถึงล่วงหน้า 1-2 วันเพื่อเตรียมตัว จัดการที่พัก หาลู่ทางไปทำงาน ที่กินข้าว ฯลฯ ครับ โดยหลังจากเราขึ้นมา และทำเรื่องเข้างานกับทางนายจ้าง เราจะต้องไปรับเครื่องแบบและป้ายพนักงาน โดยยูนิฟอร์มจะต่างกันไปตามงานที่ทำครับ เค้าจะให้เสื้อกางเกงมาพอดีวันทำงาน เราต้องใช้มันจนทำงานเสร็จครบ 3 เดือนแล้วค่อยส่งคืนครับ


Cabin in the Wood : บ้านเล็กในหลุมใหญ่

          ว่ากันด้วยเรื่องที่พักบ้างนะครับ เค้าจะจัดให้เราตอนไปถึงครับ เราสามารถ Request ได้ว่าอยากอยู่ที่พักแบบไหน (ถ้ายังไม่เต็ม) โดยที่พักที่นี่จะมี 3 แบบหลักๆดังนี้ครับ

1.Colter Hall/Victor Hall มันคือชื่อของหอพักหญิงและชาย ใน Map ตรงรถไฟจะเป็นหอหญิง ส่วนหอชายไม่มีใน Map แต่จะอยู่ใกล้ๆ Community Building ลักษณะเป็น Dorm ทั่วไปนั่นแหละครับ มีเตียงสองชั้นให้ ห้องน้ำรวม มีครัว ตู้เย็น ทีวีโซฟา ครบครัน ส่วนใหญ่ถ้ามาเป็นกลุ่มน้อยกว่า 3 คน และมาช้ากว่าชาวบ้านเค้าจะได้นอนที่นี่

2.The Cabin คือกระท่อมหลังเล็กๆ จะกระจายอยู่รอบๆ Maswik Lodge ไปจนถึงรางรถไฟครับ โดยกระท่อมจะมีแบบ 3 คน และ 4 คน ผมมากัน 3 คนก็ได้อยู่เคบิน 3 คนครับ แต่แนะนำว่าให้อยู่เคบิน 4 คนจะดีกว่า เพราะความหรูหราคนละเรื่องกันเลย ถ้โดยเคบิน 3 คนแต่ละหลัง จะประกอบไปด้วย เตียง 3 เตียง ตู้ลิ้นชัก 3 ตู้ โคมไฟ โต๊ะ-เก้าอี้ ราวแขวนเสื้อ 1 ชุด ฮีตเตอร์ 1 เครื่อง ห้องน้ำ 1 ห้องครับ อยู่กันแบบแออัดนิดหน่อย ส่วนถ้าเป็นเคบิน 4 คนจะเป็นหลังใหญ่ มีเตียง 2 ชั้น 2 เตียงครับ อันนี้พื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าเยอะ ถ้าเทียบกันง่ายๆ เคบิน 3 คน มีที่เหลือนั่งพื้นได้สัก 5 คน(ถ้ายกที่นอนขึ้นก็จะเป็น 8-10 คน) ขณะที่เคบิน 4 คนเคยนั่งพื้นกินข้าวกันสุด 10 คนสบายๆครับ และที่สำคัญ เคบิน 4 คนมีระเบียงให้นั่งเล่นด้วยครับ จะปิ้ง BBQ ก็ได้ แต่ระวัง Park Ranger มาไล่นะครับ ปสก.ตรง 55

ห้อง 3 คนครับ จะมี 1 เตียงกับ 1 ตู้ อย่างละ 3 ชุดครับ (รกหน่อยนะครับ 55) ตรงกลางห้องจะวางโต๊ะได้ 1 ตัวครับ นั่ง 3 คนได้เบียดๆหน่อย

ห้องน้ำ/ตู้เย็นครับ 555 ข้างๆก็จะเป็นที่ยืนอาบน้ำ

3.Trailer Village ก็คือนอนในรถบ้านนั่นแหละครับ อันนี้แทบจะเป็นตำนานของ GC รุ่นผม เพราะแทบไม่พบคนไทยที่นอนที่นั่นเลยครับ แถมมีข่าวลือต่างๆนาๆว่าที่นั่นผีดุ (ยังอุตส่าลือกันได้) โดยที่พักนี้จะอยู่คนละซีกกับที่พักอื่นๆครับ อยู่ขวาสุดใกล้ๆกับ Yavapai Lodge นั่นแหละครับ มีข้อดีคือจะใกล้กับ Market มาก ชนิดที่ว่าเดินเท้าไปได้ และถ้าทำงาน Yavapai ก็จะสะดวกมากครับ ข้อเสียคือจะห่างไกลชาวบ้านคนอื่นเค้ามาก และไม่มี Cafeteria พนักงานแถวนั้นครับ ส่วนเรื่องรายละเอียดอื่นๆผมไม่ทราบเลยครับ อย่างที่ว่ามันเป็นตำนาน 555

          กฎระเบียบของห้องพักก็ง่ายๆครับ ห้ามปาร์ตี้ ห้ามก่อไฟ ห้ามเสียงดังตอนดึก ห้ามย้ายไปนอนบ้านคนอื่นเค้า ซึ่งข้อที่ว่ามานี่ เราแหกหมดทุกข้อครับ โดยเฉพาะห้ามเสียงดังนี่ ดึกๆบางเคบินก็น้องๆผับเลยครับ สิ่งที่ควรเอาไปเสริมที่พักอย่างยิ่งคือปลั๊กพ่วง และปลอกหมอนครับ เพราะที่นั่นจะไม่มีให้ คนสามคนกับรูปลั๊กแค่สามอันได้มีฆ่ากันตายไปข้างนึงแหละครับ

         เรื่องการซักเสื้อผ้า สำหรับคนที่พักในโซนตรงข้าม Maswik Lodge จะมีเคบินที่ติดกับรางรถไฟเป็นเคบินสำหรับซักผ้าครับ ด้านในจะมีเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้าอย่างละ 6-7 เครื่องสำหรับให้คนที่พักบริเวณนั้นมาใช้ได้ฟรีครับ แต่เราต้องเตรียมพวกผงซักฟอกไปเองครับ ตัวผมนั้นแบกไปจากไทยครับ แนะนำให้ใช้แบบที่เป็นแบบน้ำ และผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะเครื่องที่นั่นไม่มีช่องแยก ต้องเทลงไปในเครื่องทีเดียวเลยครับ ซักเสร็จแล้วก็ต้องย้ายเสื้อผ้าไปเข้าเครื่องอบครับ เครื่องนี้ต้องระวังดีๆ ถ้าอบร้อนไปเสื้อผ้าจะหด หดมากไปก็ได้โละซื้อใหม่กันทีเดียว

          เวลาซักและอบทีจะกินเวลารวมๆเกือบชม.ครับ บางคนเค้าก็เลยจะกลับไปรอที่เคบินกัน ประเด็นคือวันที่คนมาซักเยอะๆนั้นเครื่องจะไม่พอ บางทีเครื่องซักเสร็จแล้วแต่เจ้าของไม่มาเอาผ้าออกก็จะโดนคนอื่นเค้าออกไปกองๆที่อื่นให้ ซึ่งบางทีมันสกปรกก็ต้องซักใหม่ ไม่ก็เสื้อผ้าหายครับ ผมเคยโดนครั้งนึงคืออบผ้าแล้วลืมไว้ พอนึกได้ไปเอาก็เจอว่าคนที่ใช้ต่อเอาเสื้อผ้าเราออกมาหมดแล้ว แถมพับให้ด้วยตั้งแต่เสื้อยันกางเกงใน เรียบสนิทเหมือนจะเอาเตารีดรีด ดูริ้วผ้าแล้วฝีมือผญ.แน่นอน ขากลับเคบินนี่อยากจะเอาถุงคลุมหัว ไม่กล้าสบตาสาวๆปีนอยแถวนั้น

Food For Thought 2 : กินถูก กินแพง กินหรู

          อาหารการกินที่นี่มีให้เลือกเยอะครับ เพราะทุก Lodge ก็จะมีร้านอาหารของตัวเอง ซึ่งแตกต่างกัน ทั้งพิซซ่า เบอเกอร์ แซนวิช ไก่อบ ปลาอบ ทาโก้ ปอเปี๊ยะ ซุป สตูว์ ต่างๆ แต่ราคาจะสูงนิดนึง เริ่มต้นที่จานละ 5$-10$ ไปตามเมนูครับ บางอย่างถ้าเราสั่งแยกก็จะคุ้มกว่า เช่นไก่อบจะมีเป็นชุด ไก่ 1 ชิ้น+เครื่องเคียง 2 อย่าง (พวกมันบด Mexican Rice) แต่ถ้าเราสั่งไก่เฉยๆ แล้วไปสั่งเครื่องเคียงแยกที่ร้านอื่น (เช่น Jusmin rice ข้าวหอมมะลิ) ก็จะได้ไก่ 2 ชิ้นกับข้าว 1 จานเต็มๆ ในราคาเท่ากันครับ  ส่วนน้ำจะต้องใช้วิธีหยิบแก้วเปล่าไปจ่ายตังที่ Cashier ครับ เค้าจะถามว่า Water หรือ Soft Drink ถ้า Water จะไม่เสียงตัวครับ Soft Drink เสีย 2$

Lodge ที่ Yavapai กับเพื่อนจากม.เดียวกันที่ผมเพิ่งนึกได้ว่าไปด้วย (เพื่อนมัธยมด้วย รู้สึกผิด TT)

         มีตู้กดไอติมด้วยนะครับ เรากดเองแล้วเดินไปจ่ายตัง แต่อย่ากดแบบที่เรากดสเลอปี้พูนๆในไทยนะครับ เพื่อนผมไปกดซะสูงเป็นตึกไบหยก ไปจ่ายตัง Cashier ช๊อค คิดตังไม่ถูก ต้องโทรหาผู้จัดการ ฝรั่งที่ผ่านไปมาแถวนั้นมาหยุดดู หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปกันใหญ่ สรุปสุดท้ายโดนคิดตังเท่ากับ 2 ถ้วย แต่ยังถือว่าคุ้มเพราะความสูงที่กดมามันเลย 3 ถ้วยไปเรียบร้อยแล้ว

          ถ้าอยากประหยัดขึ้นมานิดนึง ที่นี่จะมี Cafeteria พนักงานอยู่ตรง Bright Angel Lodge ครับ ซึ่งจะไกลจากเคบินเราหน่อย แต่ราคาจะถูกกว่าตาม Lodge ครับ ตกอยู่ประมาณ 2-4$ เท่านั้นครับ รสชาติก็อร่อยไม่แพ้กันครับ

สภาพ Cafeteria ครับ คุณภาพอาหารไม่ต่างกันแต่เมนูจะไม่เยอะเท่ากับด้านนอก + เดินไกลนิดนึงครับ

          จะประหยัดสุดๆต้องลงทุนหน่อยครับ ซื้อกระทะไฟฟ้า และกล่องโฟมจาก Wal-Mart หรือห้างร้านอื่นๆด้านล่าง GC (Market Store ไม่มีขาย) แล้วตุนอาหารมาทำที่เคบินครับ โดยเรามีเสบียงเป็นกองทัพมาม่าอยู่แล้ว เอามาต้ม ผัด ย่าง อะไรตามเรื่องครับ กล่องโฟมเอาไว้แช่อาหารครับ ตาม Lodge จะมีเครื่องทำน้ำแข็งให้กดฟรีๆอยู่แล้ว ช่วงหิมะตกน้ำแข็งแทบจะไม่ละลาย ขนาดที่ช่วงอากาศน้ำแข็งก็ละลายเอาๆ เพราะงั้นกล่องโฟมนี่จะประจำอยู่ในห้องน้ำข้างโถส้วมตลอดเวลาครับ

ปกติพวกผมจะไปขอกินข้าวเคบินชาวบ้านเค้าครับ เคบินตัวเองที่ไม่พอรับแขก กินเสร็จก็เป่ายิ้งฉุบล้างจานกัน (90% เป็นผมล้าง)

         อาหาร ขนม ของสดต่างๆหาซื้อได้ที่ Market Store แต่ราคาจะแพงกว่า Wal-Mart อยู่ครับ แต่การจะลงไปด้านล่างเราต้องเสียค่า Arizona Shuttle อีก 25$ และนั่งไป 4 ชม. เลยทีเดียว โชคดีทาง Rec.-Center เค้าจะมีรถพาพนักงานเข้าเมือง flagstaff ทุกๆเดือนครับ ค่ารถไม่แพงเฉลี่ยๆกันไป เราไปจองคิวได้แต่ต้องรีบๆหน่อย ส่วนใหญ่จะฝากๆซื้อกันชนิดที่ว่าคนที่จะลงไปต้องแบกกระเป๋าเดินทางไปด้วยครับ (อารมณ์เหมือนใน The Walking Dead ตอนไปหาเสบียง)

          ที่ซื้อของอีกที่คือ General Store ที่อยู่บริเวณที่เรียกว่า Tusayan ครับ เป็นเหมือนจุดพักรถก่อนถึง GC ครับสามารถนั่ง Bus ของ GC ลงไปได้ครับ ซึ่งก็มีเด็กเวิร์คบางกลุ่มไปทำงานพวกร้านอาหาร และโรงแรมแถวๆนั้น (แต่ไม่ใช่ Xanterra ครับ ) ซึ่ง General Store ของต่างกับ Market Store บน GC นิดหน่อย แต่ไม่ครอบคลุมเหมือน Wal-Mart ครับ

Market Store ไม่มีภาพด้านหน้านะครับ แต่นี่เป็นร้านขายของที่ระลึกข้างๆ Market Store

ที่ Tusayan ครับ

General Store

ที่เด็ดสุดของ General Store ต้องนี่เลย

ขวดเท่าไหร่ ไปซูมดูกันเอาเองนะ 555

          Tusayan นอกจากจะมี General Store แล้ว ยังมีโรงหนัง(ของ GC) และลานโบว์ด้วยครับ เหมาะสำหรับลงมาเปลี่ยนบรรยากาศ แต่จะมีข้อเสียนิดนึงคือเราจะกลับดึกไม่ได้มิฉะนั้นจะไม่มีรถบัสกลับขึ้น GC ครับ จริงๆพวกผมเคยลงไปกับเพื่อนฝรั่งแค่ครั้งเดียวครับ กินข้าวกับโยนโบว์ ขากลับก็ติดรถเค้ากลับมาด้วย จะบอกว่าทางขึ้น GC มันมืดมากกกกก คิดว่าจะกลับมาไม่ถึงซะละ (อย่าถามนะว่าคนขับซัดเบียร์ไปกี่ขวด)

โรงหนังครับ ไม่รู้ฉายอะไรข้างในบ้างนะ 555

ร้านพิซซ่า ราคาแรงอยู่

แต่บัฟฟาโล่วิงเค้าเด็ดจริงๆ บน GC ไม่มีไก่ทอดแบบนี้นะครับจะมีแต่แบบไม่มีกระดูก ผมนี่โหยสุดๆ (ใครไม่รู้จัก บัฟฟาโล่วิง มันคือไก่กร๊อบกรอบของ The Pizza Company ครับ แต่ที่นี่ชิ้นใหญ่ และกรอบกว่ามากครับ)

ลานโบว์ครับ แบคกราวน์เป็น GC ซะด้วย

          ถ้ามีวาระอยากเฉลิมฉลองใต้แสงเทียนก็ขอเรียนเชิญที่ภัตตาคารหรูที่ El Tova ครับ เป็นภัตตาคาร 4 ดาวที่เด็กเสิร์ฟน้ำก็เพื่อนๆเรานี่แหละ ราคาอยู่ระหว่าง 15-100$ ครับ พวกผมเคยไปทานสองครั้ง มื้อเช้ากับมื้อเย็น หมดไปเป็นพันอยู่ครับ แต่ยอมรับว่าอาหารอร่อยจริงๆ Mash Potato ผสมชีสที่ผมสั่งที่นั้น ทุกวันนี้ยังไม่มีร้านไหนเทียบได้ครับ

หรูหราตามสไตล์โรงแรม 4 ดาว (ที่ไม่ได้ 5 ดาวเพราะไม่มีสระว่ายน้ำครับ)

          บรรดาขนมทั้งหลายใน USA ไซส์จะอัพกว่าบ้านเรา ขนาดประมาณสองเท่าได้ ถ้าซื้อเลย์มา 1 ถุงแทบจะกินได้ทั้งอาทิตย์ครับ แต่ราคาก็อัพตาม บรรดาเค้กและเบอเกอรี่ต่างๆพวกผมไม่มีความทรงจำถึงมันครับ เป็นชายฉกรรจ์เน้นโปรตีน 55 แต่ขนมที่รู้สึกว่าแพงเกินคือไอศครัมครับ ประมาณ 2-5$ ในสมัยที่ในไทยแมกนั่มแบบหรูสุดแท่งละ 40 บาท แต่ก็อร่อยสุดๆเช่นกันครับ ความที่อากาศเย็น ไอติมเลยไม่ละลายตอนเราถือ เหมือนกันขนมปังแน่นๆนิ่มๆเย็นๆหวานๆ อร่อยมากกก โดยเฉพาะไอศครีมแซนวิท ทุกวันนี้ยังฝันให้มันมาขายที่ไทยบ้าง

           สำหรับคอกาแฟที่นี่คุ้นๆว่ามีร้านกาแฟอยู่ครับ แต่คงไม่ใช่ร้านฮิปๆ แบบที่ฮิตกันในบ้านเราครับ ปกติที่ทำงานจะมีเหยียกกาแฟให้อยู่แล้วครับ ในวันหยุดที่ใกล้เคียงกาแฟที่สุดก็คงจะเป็น Starbucks แบบขวดครับ ราคาขวดละ 2-3$ หวานๆมีกลิ่นกาแฟนิดๆ ดื่มเป็นเป็นนมตอนเช้าครับ ที่นี่ Starbucks ราคาเท่าๆที่ไทยครับ แต่พอเทียบกับค่าครองชีพที่นั่น ทำให้ราคาของมันพอๆกับกาแฟทั่วไปข้างถนนครับ ส่วนกาแฟดีๆที่ขายในร้านของตัวเองก็จะอัพราคาขึ้นไปอีก

ไอ้ขวดนี้แหละครับ ดื่มกันแทนนมเลยทีเดียว


All Other, All To Remember วันหยุด วันอืด วันเอื่อย

          นอกจากที่ทำงาน Cafeteria และเคบินของเราแล้ว จะมีสถานที่อีกแห่งที่เราสามารถไปชิลๆชิคๆสโลวไลฟ์กันในวันหยุดอันน้อยนิดของเราได้นะครับ นั่นคือ Grand Canyon Recreation Center

Rec. Center มันคือศูนย์รวมแห่งความชิล เอ้ย ศูนย์สันทนาการของ GC แห่งนี้นั่นเองครับ โดยภายในอาคารหลังนี้จะประกอบไปด้วย Fitness แห่งเดียวของ GC (ต้องสมัครสมาชิก) ที่นั่งชิลมากมายสามารถสั่งน้ำ/เครื่องดื่มต่างๆมานั่งกินได้ (มี Starbucks แบบขวดขาย) มี Wifi ให้ด้วยกรณีที่บ้านสัญญาณไม่ถึงครับ นอกจากนั้นยังมีโต๊ะพูล โต๊ะปิงปอง ทีวีจอยักษ์พร้อมโซฟา ATM ที่ปิ้งบาบีคิว และสนามเทนนิสอีกด้วย เรียกว่าครบครันเลยทีเดียว มีข้อเสียอย่างเดียว คือมันโคตรจะไกลจากเคบินพวกเราครับ (จะออกนอก Map ไปทางซ้ายนะครับ) คือที่นี่จะมี Apartment อยู่ครับ สำหรับพนักงานประจำและ Internship ครับ ซึ่ง Rec. Center เค้าสร้างให้พนักงานเหล่านี้ใช้ มันจึงใกล้เค้าแต่ไกลเราครับ แต่ก็สามารถเดินไปได้กินเวลาซัก 10-15 นาทีครับ ส่วนขากลับจะมีรถตู้มาคอยรับเราไปส่งที่ Colter/Victor Hall ครับ ซึ่งเราสามรถติดรถกลับไปได้ แต่จะมีเป็นรอบๆครับ ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้ารถเต็มต้องเดินกลับครับ



Phase IV : Travel Time!!!

รอกันมานานแล้วสินะครับ สำหรับการ Travel โดยผมขอสรุปที่เที่ยวต่างๆใน GC ที่เราสามารถไปได้ทั้งในฐานะพนักงาน และนักท่องเที่ยวก่อนนะครับ


Bright Angel Trail-head

          ถ้าคนที่ทำงาน Lodge แถวนั้นอาจจะเบื่อ แต่ Bright Angel Trail-head มันคือจุดชมวิวหลักของ Village แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นทางเดินยาวเรียบขอบของหลุมยักษ์แห่งนี้ โดยจะเริ่มจาก Hopi House ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างเลียนแบบบ้านของชาว Native american ดั้งเดิม ออกแบบโดย Mary E.J. Colter ชื่อนี้จะเห็นจนชินครับ เพราะเค้าออกแบบตึกใน GC หลายตึกมาก (หอหญิงเลยชื่อ Colter Hall) ข้างในเป็นร้านขายของที่ระลึกครับ ข้างในก็จะมีพวกเครื่องประดับลูกปัดพื้นเมือง ภาพ Sand Painting และเครื่องดนตรีพื้นเมืองครับ

จาก Hopi House เดินยาวต่อไปทางซ้ายมือ ผ่านโรงแรม El Tova ก็จะพบกับสวนซึ่งเป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวมาเดินเล่นชมวิวครับ ถ้าวันไหนอากาศอบอุ่นก็จะพบกระรอกออกมาอาบแดดเล่นกันครับ ระหว่างทางก็จะผ่าน Bright Angel Lodge ที่จะมีร้านอาหารและร้านของของที่ระลึกด้วย ใครพักที่นี่จะบอกว่าตื่นเช้าเดินออกมานี่วิวดีสุดๆ

Rim Trail

กระรอกออกมาเล่นกัน

และก็ตัวอื่นๆที่คล้ายกระรอก

          เดินต่อมาจะเจอ Lookout Studio อาคารหินทรงพื้นเมือง ออกแบบโดย Mary E.J. Colter เป็นร้านของที่ระลึกอีกแห่ง ขึ้นไปชั้นสองจะมีกล้องให้ส่องดูวิวครับ เป็นจุดที่เค้าว่าวิวดีที่สุดในแถบนี้ครับ มองไปจะเห็นหินที่ชื่อว่า Battle Ship ซึ่งเป็น Landmark หนึ่งของที่นี่ครับ

Lookout Studio

วิวเห็นไกลไปถึง North Rim เลย

Battle Ship Rock

         เลยมานิดนึงเราจะถึงจุดสุดท้ายของบริเวณ Bright Angel คือ Kolb Studio ครับ เป็นร้านขายหนังสือ ภาพถ่าย และ Art Studio ครับ เข้าไปเดินชมได้นิดหน่อยครับ เลยจากจุดนี้ไปจะเป็นทางลง Trail และทางเข้าสู่เส้นทาง Red Route ที่มีปลายทางคือ Hermits Rest ซึ่งจะกล่าวต่อจากส่วนนี้ครับ

Kolb Studio ไม่ได้ถ่ายด้านหน้ามาครับ

ภายในครับ

ถัดไปจะเป็นถนนเรียบ Rim โล่งๆ

          สำหรับคนที่อยากจะเดินลงไปด้านล่างนะครับ (ตัวผมเองไม่เคยลงไป) แต่เส้นทางยอดนิยมของที่นี่คือ Plateau Point ที่อยู่ลึกลงไป 3860 ft ครับ ลงไปถึงแม่น้ำโคโรลาโด้ที่อยู่ด้านล่างสุดของ GC เลย ซึ่งจะต้องใช้เวลา 2 วันในการเดินขึ้นลงครับ จะมีที่พักให้ด้านล่างชื่อ Phantom Ranch ต้องจองจากด้านบน โดยระหว่างทางจะมีจุดให้เติมน้ำให้จนกระทั้งถึงครึ่งทางหลัง (จุดก่อนจะลงไปตรงแม่น้ำที่เห็นในรูปด้านล่าง) จะไม่มีน้ำให้ครับ เพราะฉะนั้นคงที่ลงไปจะต้องเตรียมกระติกน้ำไปปริมาณเยอะหน่อยครับ มีคำเตือนหลายที่มาก เพราะคนจำนวนมากมาเสียชีวิตที่ Trail นี้จากความร้อน และขาดน้ำ ครับ แม้ว่าข้างบนหิมะจะตก แต่ลงไปด้านล่างอุณหภูมิจะขึ้นไปสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส เพราะเป็นที่โล่งเปิดปนทะเลรายครับ

เส้นสีขาวๆคือทางเดินครับ พอถึงปลายต้องไต่ลงนิดหน่อย (เค้าว่างั้น)

Red Route To Hermits Rest

          ที่ใช้ชื่อนี้เพราะว่าเราสามารถเดินทางในเส้นทางนี้ได้ด้วยบริการรถ Bus ของ GC สายสีแดงครับ โดยจะเริ่มต้นจากสุดปลายของ Bright Angel (เดินต่อจาก Kolb Studio มาสักพัก) โดยรถจะจอดตามจุดชมวิวต่างๆครับ หรือถ้ามีเวลาสามารถเดินเท้าในเส้น Rim Trail เลาะตามขอบหลุมไปได้เลยครับ ผมเดินเท้ากันไปนะครับ เลยระบุจุดที่รถหยุดไม่ได้ แต่เดินเท้าแบบชิลๆถ่ายรูปไปเรื่อยๆใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงครับ

ทางเดินจะมีทางเรียบทำไว้ให้ แต่ถ้าเราอยากถ่ายรูปใกล้ๆขอบมากๆสามารถออกนอกทางได้ครับ ก็จะกันดารนิดหน่อย แต่ไม่หลงทางแน่นอน

วิวระหว่างทางจะมองย้อนกลับมาครับ บนสุดคือ El tova ถัดลงมาจะเป็นบริเวณ Bright Angel Lodge บ้านหลังสีดำคือ Kolb Studio ทางที่เป็นชั้นๆคือ Trail ลงไปด้านล่างครับ

ระหว่างทางจะมีป้ายอธิบายเป็นระยะๆครับ จุดไหนรถจอดก็จะมีคนเยอะหน่อย

         ปลายทางของ Trail สายนี้คือ Hermits Rest ครับ เป็นตึกหินโบราณ แต่ก่อนสร้างไว้เพื่อเป็นจุดพักให้นักเดินทางที่เดนทางผ่านมาใน GC แห่งนี้ ออกแบบโดย Mary E.J. Colter อีกแล้วครับ ปัจจุบันอาคารหลังนี้เป็นจุดชมวิว Snack Bar และร้านขายของที่ระลึกครับ

Hermits Rest


Orange Route to Yaki point

          เส้น orange Route เริ่มต้นจาก Hopi House ยาวไปเรื่อยๆจนถึงขอบสุดทางตะวันออกของ GC ครับ โดยสามารถเดินเท้าเลาะขอบหลุมไปตลอดจนสุด หรือจะนั่ง Orange bus ไปลงตามจุดก็ได้ครับ โดยปลายสุดของเส้นทางนี้คือ Yaki Point ครับ แทบจะถึงส่วนที่เป็นเขต East Rim ของ GC เลยทีเดียว

ผมใช้เวลาครึ่งวันในการเดินเล่นในเส้นทางนี้ครับ ในช่วงแรกผมเดินตาม Greenway เริ่ม Hopi House ไปครับ เดินดูวิวไปเรื่อยๆ จะมีฝรั่งพาลูกเล็กๆมาเดินกันเต็มไปหมด แม้แต่คนแก่นั่ง Wheelchair ก็มีครับ โดนช่วงนี้จะมีป้ายให้อ่านเรื่อยๆครับ เป็นเกร็ดความรู้ของ GC ในบริเวณนี้

          จาก Bright Angel เดินไปประมาณ 3 ไมล์ หรือประมาณ 4.8 km เราก็จะมาถึง Yavapai point Observation station ครับ เป็นหอชมวิวอีกแห่งของที่นี่ครับ จะเห็นวิวของ GC ได้ชัดชนิดที่ว่าไม่มีต้นไม้หรือโขดหินบังเลยครับ

ภายใน Observation station

วิวดีมาก แต่ต้องมองผ่านกระจกครับ แต่ก็ไม่แสบตาดีเวลาแดดเเรงๆ

วิวรอบๆ Observation station

          จากจุดนี้ผมเดินต่อไปยัง Mather Point อันเป็น Landmark ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของเส้นทางสายนี้ครับ สังเกตได้ว่าจุดนี้คนจะพลุกพล่านมาก มาแย่งซีนกันถ่ายรูปเต็มไปหมด

จากจุดนี้ไปจะไม่มีทางเดินต่อครับ เราต้องนั่งรถ Orange Bus ซึ่งจะพาเราไปที่ Canyon View Information Plaza Visitor Center บริเวณนี้จะเป็นเหมือนศูนย์ข้อมูลหลักสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะมาเดินลงในแต่ละ Trail ของ GC ครับ ซึ่งมีเยอะมากๆ ระหว่างทางที่ผมเดินมาจาก Bright Angle ก็จะมีทางลง Trail เรื่อยๆครับ มีตั้งแต่ใช้เวลาเดินสองสามชั่วโมงจนเป็นวันครับ ซึ่งอย่างที่กล่าวข้างต้นว่าการที่จะลงไปจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งอุปกรณ์เดินป่า และสภาพร่างกายครับ

หน้าตาของ Visitor Center

ข้างในจะมีร้านหนังสือและร้านขายของที่ระลึกครับ

ป้ายบอกอุณหภูมิวันนี้ กำลังเย็นสบาย

ข้อมูลการเดิน Trail ต่างๆใน GC นะครับ

ต่อจากจุดนี้ก็จะเป็นจุดสุดท้ายที่ Bus ของ GC จะพาเรามาถึงครับ (ไม่นับลงไป Tusayan) จุดนี้มีชื่อว่า Yaki Point เป็นจุดเริ่มต้นของ Trail ยอดนิยมอีกแห่งของ GC นั่นคือ South Kaibab Trail ครับ



Sunset/Sunrise Tour

         Tour นี้จะเป็นทัวน์ที่ต้องเสียเงินจองกับทาง GC ครับ โดยสามารถจองได้ที่ Maswik Lodge จะมีเคาน์เตอร์อยู่ครับ เนื่องจากเราเป็นพนักงาน Xanterra เลยสามารถไปทัวน์ได้ในราคาที่ถูกกว่านักท่องเทึ่ยวเที่ยวไปได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะไปได้ต่อเมื่อรอบนั้นมีที่เหลือครับ เพราะฉะนั้นเราต้องมารอตรงเคาน์เตอร์จนเวลารถจะออกจึงจะรู้ว่าได้ไปหรือไม่

โดยผมได้ไปแค่ Sunset Tour อันเดียวนะครับ Sunrise Tour ต้องไปขึ้นรถที่ Yavapai Lodge ซึ่งไกลจากเคบินผม และตอนเช้ามากยังไม่มี Bus วิ่งครับ เข้าใจว่าถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่จองล่วงหน้าไว้เค้าจะขับมาแวะรับตาม Lodge ครับ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ

จุดที่ Tour จะพาเราไปชมพระอาทิตย์ตกคือบริเวณ Hopi Point ครับ คือจุดที่อยู่ใน Red Route ที่เล่ามาเมื่อตอนต้นนั่นเอง ถ้าใจรักจริงๆ(และอยากประหยัด) จะเดินเท้าไปก็ได้ครับ แต่ควรจะต้องรีบกลับให้ทันรถ Bus สายสีแดงของ GC รอบสุดท้าย เนื่องจากระยะทางไกลพอตัวอยู่ และพอตกดึกแถวนั้นจะมีสัตว์ออกมาหากินครับ ตั้งแต่กวาง มิว หมาป่า และสิงโตภูเขา ค่อนข้างอันตรายอยู่ครับ

รถบัสจะพาเราจอดสองจุดนะครับ จุดนึงจะให้ดูแสงเย็นตกกระทบกับบรรดาภูเขาหินน้อยใหญ่ภายในหลุมครับ ส่วนอีกจุดจะเห็นพระอาทิตย์ตก และแม่น้ำโคโลราโด้ด้วยครับ สวยงามมากเลยทีเดียว



Dessert View Watch Tower

          อันนี้จะเป็น Half Day Tour นะครับ ออกบ่ายๆ กลับมาเย็นๆครับ โดยจะเป็นการพาเที่ยวบริเวณที่เลยจาก Yaki Point ไปครับ ยาวไปจนถึงจุดที่เป็นส่วนหักมุมของ GC ติดกับ East Rim ครับ ถ้ามีโอกาสแนะนำให้ไปนะครับ ส่วนตัวมองว่าเส้นทางนี้สวยที่สุดใน GC แล้วครับ

โดย Tour นี้จะมีไกด์ให้ด้วย ตอนผมไปไกด์ชื่อ ออสก้า เป็นผู้ชายวัยกลางคนปลายๆตัวอ้วนกลม ท่าทางเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา จะชอบพูดเสียงเนือยๆยืดๆครับ แต่เค้าเป็นคนตลกครับ เวลาเล่นมุกก็จะเป็นมุกหน้าตายคู่กับเสียงเนือยๆนี่แหละ โดยหน้าที่ของไกด์คือจะอธิบายประวัติของ Gac และอธิบายจุดต่างๆที่จะไปตลอดทางบนรถครับ เพื่อที่พอถึงแล้วเค้าก็จะปล่อยให้นักท่องเที่ยวเดินตามสบายในเวลาที่กำหนดครับ ที่นี่ตรงเวลามาก ถ้ามาสายเค้าจะทิ้งเลยครับแล้วค่อยส่ง Ranger ไปรับครับ (เค้าว่างั้น)

ไกด์ผู้น่ารักของเรา

          โดยการเที่ยวในช่วงแรกจะเป็นการตระเวณไปตามจุดชมวิวครับ มีหลายจุดเหมือนกัน แต่ละจุดก็มีความโดดเด่นต่างกัน บางจุดก็จะมีร่องเหวเป็นแนวยาว บางจุดเราก็จะเห็นริ้วหินสลับเป็นลาย บางจุดก็จะเเห็นส่วนโค้งของแม่น้ำโคโลราโด้ครับ

ไฮไลท์ของ Tour นี้คือ Desert View Watchtower เป็นหอสังเกตการณ์ที่สร้างด้วยหิน Design ให้เหมือนของชาวพื้นเมืองครับ งานออกแบบสไตล์นี้มีคนเดียวใน GC ที่ทำครับ นั่นคือ  Mary Colter นั่นเอง โดยหอนี้ข้างในจะเป็นร้านขายของที่ระลึก สามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้โดยแต่ละชั้นจะมีภาพวาดของชาวพื้นเมืองประกอบอยู่ และสามารถมองเห็นวิวภายใน GC ได้จากช่องหน้าต่างครับ



Employee Trip

           ทุกๆเดือนที่ Rec. Center จะมี Trip พาพนักงานไปเที่ยวรอบนอก GC ครับ โดยจะรับจำนวนจำกัดแค่ รถตู้ 1 คันเท่านั้น พวกเราๆสามารถไปได้โดยการรีบไปลงชื่อกับทาง Rec. Center ครับ เสียเงินนิดหน่อย (น่าจะ 25 USD ไม่แน่ใจนะครับ) และเราต้องลางานให้ตรงกับวันที่ไปครับ โดยสถานที่ที่ไปจะเปลี่ยนไปตามแต่อารมณ์ของคนจัด 55+ โดยจะมีตั้งแต่ Tusayan Prescott Monument Valley ไปยัน Las Vegas ครับ จำนวนวันก็ตามระยะทางที่ไปเที่ยว อย่างถ้าไป Vegas ก็จะ 2-3 วันครับ ผมมีโอกาสไป 2 ครั้งครับ คือครั้งนี้ที่กำลังจะเล่าให้ฟัง และ Las Vegas ที่ไปตอนทำงานจบแล้ว

Berizona - Red Rock - Sedona - Slide Rock

         ทริปนี้ประกอบด้วย 4 ที่นะครับ ไปแบบเช้าเย็นกลับครับ พวกผม 6 คนนั่งรถตู้ไปชาวสิงคโปร์ที่เพิ่งขึ้นมาทำงานใน GC (ประมาณเดือนพฤษภาคม ชาวสิงคโปร์กับเกาหลีจะขึ้นมา คนไทยกับฟิลิปินจะกลับ ก็จะสวนกันแว๊บนึง)

          Berizona จะเป็นสวนสัตว์เปิดของ Arizona ครับ โดยจะให้เราขับรถวนเข้าไปชมสัตว์แต่ละโซน ขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ครับ แต่เนื่องจากไม่เคยเข้าสวนสัตว์ในประเทศแถบนี้ ก็เลยตื่นตานิดหน่อยกับสัตว์ที่ไม่เหมือนแถบบ้านเรา

หมาป่า

ไบซันเผือก

บิ๊กฮอร์น

หมีดำ

หมีกริซลี่

ลูกหมี

แพะเครายาว

ลูกจิ้งจอก

แมวป่า?

          The Red Rock จะเป็นเหมือนเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินชมบรรดาหินยักษ์สีแดงสดครับ เป็นเส้นทางเดินเพลินๆ ไม่ชัน มีถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ (แอบหลงนิดหน่อย)

Sedona เป็นเมืองเล็กๆอยู่ไม่ไกลจาก Red Rock เรามาแวะกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ครับ (มีร้านอาหารไทยด้วย ลาบไก่จานละ 13 USD)  Sedoma เป็นเมืองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะครับ ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก และ Landmark ให้ถ่ายรูป แต่ไม่แนะนำให้ซื้ออะไรจกที่นี่ครับ เพราะเมืองนี้ Made in China 100% 555+

Slide Rock เป้นจุดสุดท้ายของทริปนี้ สาเหตุที่ชื่อว่า Slide Rock เนื่องจากบริเวณนี้เป็นลำธารที่หินใต้ลำธารลื่นและเรียบมากจนเหมือนสไลดเดอร์ ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำกันบริเวณนี้ครับ ตอนพวกผมไปน้ำอุณหภูมิน่าจะต่ำกว่า 20 องศา เย็นมากกกกก กระโดดลงไปทีเหมือนโดนเข็มหมุดรุมแทง (แต่ก็ลงไปเล่นอยู่ดี 555)

          ที่นี่จะมีอีกกิจกรรมนึงคือการไต่หินยักษ์ (ชาว GC คิดค้นกันเอง 55+) จะมีหินก้อนใหญ่ก้อนนึงที่คนที่มาจะท้ากันให้ไต่ขึ้นไปบนยอดหินครับ ความยากคือหินมันแทบจะไม่มีร่องให้เกาะเลย ต้องใช้แรงเยอะมากในการไต่ จนถึงปัจจุบันมีคนไต่ขึ้นได้ แค่ไกด์กับคนขับรถสมัยหนุ่มๆเท่านั้น



PHASE V : จบงานๆ Viva Las Vegas & Hello LA

ถึงส่วนสุดท้ายของกระทู้ที่ โ-ค-ต-ร ยาวนี่ซะทีนะครับ ณ โมเม้นที่เราใกล้จะจบงานแล้ว เราจะเกิดอารมณ์อยากกลับบ้านใจจะขาด ประมาณว่ากรูเหนื่อยมากแล้ว อยากจะนอนให้คนอื่นซักผ้าให้บ้าง อยากจะออกไปเดินข้างนอกโดยไม่ต้องใส่เสื้อหนาวบ้าง โมเม้นอยากกินก็จะทยอยถาโถมเช้ามา ทั้งส้มตำ ลาบ น้ำตก ยำ เครื่องใน ทุกสิ่งที่เผ็ด และเปรี้ยว ความจัดจ้านของ Thai food เป็นสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งจิตใจผมให้เดินต่อไปยามเจออุปสรรคต่างๆนาๆ (ก็เวิ่นไป 55)

          แต่ก่อนอื่น เรา Work แล้ว ต้อง Travel อย่างจริงจังก่อน Plan ตอนแรกของพวกผมคือจะหาทัวน์จีนสักอันนึง ที่จะพาเราชะโงกไปได้ทั่วๆและจบลงที่ LA เพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย ซึ่งก็เจอทัวน์พาเที่ยวตามแนว Nation Park ขึ้นไปถึง Yellowstone เป็นเวลา 9 วัน แต่เจอประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายนิดหน่อยตรงที่ เพื่อนผมคนนึงซื้อไอแพดไป ตอนนั้นเพิ่งออกที่อเมริกาพอดี มันเลยซื้อมานั่งเล่นตบแปะกับแมวพูดได้อยู่เป็นเดือนๆแก้เหงา เพื่อนจึงตังไม่พอจะไปชะโงกทัวน์กับเรา แต่โชคดีที่ช่วงนั้น Rec. Center มีพาไปเที่ยว Las Vegas พอดี ขนคนไปเยอะด้วย เราจึงเปลี่ยนแผนไปกับ Rec. Center เเทน โดยจะลงไปพักกับเค้าที่ Vegas แต่วันกลับจะไม่กลับด้วย จะนั่ง Greyhound ต่อไป LA แทน

          วันกลับเราต้องจัดการคืนอุปกรณ์ทั้งหลายที่เค้าให้มาทั้งหมด พวกเครื่องแบบ กุญแจห้อง บัตรพนักงาน ฯลฯ ผมทำกุญแจหาย แต่ดีคุณป้าเค้าสงสาร เลยไม่ปรับค่ากุญแจห้อง พอกลับมาไทยเจอว่าเผลอแพคลงกระเป๋ามาด้วย เพราะฉะนั้น ใครพักอยู่เคบิน 112 วันดีคืนดีผมอาจจะไขเข้าไปทักทายนะครับ 555+ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคืนนั้นพวกผมก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงอำลากันในเคบินรังหนูของพวกผมนี่แหละ เพื่อนๆอัดกันเข้ามายังกะผับในคืนปีใหม่ แน่นมากจนต้องเวียนกันออกไปยืนหายใจข้างนอก เรียกว่าคืนนั้นเป็นคืนที่สนุกที่สุด และเมามายที่สุดในชีวิตครับ (สถิติยังไม่ถูกทำลายจนวันนี้ 25/07/2015)

           ที่ผมต้องเกริ่นเรื่องการดื่มแอลกอฮอร์ใน Paragraph ก่อนหน้าเนื่องจากมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำช่วงการเดินทางจาก GC ไป Las Vegas ของผมหายไปเหมือนหมกอยู่ในหลุมดำ จึงขออนุญาติเปิดวาร์ปข้ามไปตอนถึง Vegas เลยนะครับ Orz

Las Vegas, Nevada

Las Vegas เมืองเล็กๆกลางทะเลทรายที่เติบโตขึ้นมาจากธุรกิจการพนัน ธุรกิจที่ทำให้เศษฝุ่นกลางทะเลทรายกลายเป็นตำนาน "เมืองคนบาป (Sin City)"  เมืองที่สลับกลางวันและกลางคืน เมืองที่เปลี่ยนเศรษฐีเป็นขอทานได้ภายใน 1 คืน เมืองที่งดงามไปด้วยแสงสี ดึงดูดผู้คนมากมายทั่วโลกมารวมกัน บางคนที่มาก็ไม่เคยได้ออกจากเมืองแห่งนี้อีกเลย

"Viva Las Vegas turnin' day into nighttime

Turnin' night into daytime

If you see it once

You'll never be the same again"

                                         - Elvis Presley -

           ใครมีโอกาสอยากให้มาที่นี่สักครั้งครับ มันเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล เต็มไปด้วยแสงสี ไม่มีวันเวลา ไม่เหมือนเมืองไหนที่ผมเคยไปมาก่อนครับ และที่สำคัญมันไม่ใช่เมืองธรรมดาจริงๆครับ ไซส์มันเล็กกว่าเมืองมากกก ส่วนที่เป็น Vegas จริงๆมันเท่าถนนเส้นใหญ่ๆ 1 เส้นเท่านั้นครับ การเที่ยวในเมืองนี้นั้นง่ายๆมาก บริเวณที่บรรดาโรงแรม ร้านอาหาร คาสิโนทั้งหลายตั้งอยู่เรียกว่า the Strip ถนนเส้นยาวตัดผ่ากลางเมือง จะมีรถบัสวิ่งยาวตลาดหัวท้ายถนน สามารถซื้อตั๋วเหมารอบได้ แต่ไฮไลท์ที่แท้จริงคือการเดินไปตาม Strip เยี่ยมชมบรรดาโรงแรมห้าดาวที่หรูหราอลังการระดับโลก และห้างสรรพสินค้าที่โออ่ากว่าพระราชวัง

http://www.mappery.com/maps/Las-Vegas-Strip-Map-2.jpg

         การเที่ยวใน Vegas ผมจะเน้นเรื่องการเดินชมโรงแรมเป็นหลักครับ เนื่องจากอายุยังไม่ถึงที่จะเข้าไปนั่งเล่น Casino ที่เล่นเล่นมากสุดคือ Sloth Machine  และ Roulette Machine ครับ

          จากแผนที่ด้านบนจะครับ The Strip จริงๆจะเริ่มที่ป้าย Las Vegas ที่ตั้งอยู่ทางเข้าเมืองเลย แต่มันค่อนข้างไกลจากที่อื่นซะหน่อยครับ แนะนำคือให้เริ่มเดินที่  Mandalay Bay ครับ เดินเรียบขอบถนนไปเรื่อยๆ จะผ่าน Luxor โรงแรมที่ทำเป็นทรงปิรามิดสีดำ The Excalibur โรงแรมทรงปราสาทสีสันสดใส  (โดยปกติ GC จะพามาพักที่นี่ครับ แต่ตอนผมลงไปเหมือนมันจะเต็ม เค้าเลยส่งเราไปพักที่ Jade Dragon ไม่ค่อยหรู แต่ทำเลดีมาก)  

ถัดไปจะเจอ New York New York ครับ โรงแรมที่จำลองมหานคร New York ไว้ ไม่ว่าจะเป็นเทพีเสรีภาพ สะพานบรู๊คลิน หรือเอมไไพร์สเสต ข้างในมีรถไฟเหาะด้วยนะครับ

ตรงข้ามจะเป็น MGM ครับ เป็นโรงแรมห้าดาวขนาดใหญ่ สังเกตได้จากสิงโตตัวใหญ่ข้างหน้าโรงแรมครับ

โรงแรมห้าดาวอีกอันของที่นี่คือ Bellagio ครับ ไฮไลท์ของที่นี่คือตอนกลางคืนจะมีโชว์น้ำพุครับ เค้าว่ากันว่าอลังการและสวยงามมากครับ (ตัวผมไปไม่ทันดูครับ)

ตรงข้าม Bellagio จะเป็น Paris ครับ โรงแรมที่จำลองแลนด์มาร์คสำคัญของ Paris ไว้ครับ โรงแรมนี้จะเด่นมากเมื่อมองไกลๆครับ หอไอเฟลสูงเด่นเป็นสง่า

ถัดมาจะเป็น Caesars Palace ครับ โรงแรมห้าดาวอีกแห่ง ช่วงนั้นหนัง The Hangover ภาคแรกกำลังพอดีครับ หนังเกี่ยวกับเพื่อน 4 คนมาปาร์ตี้สละโสดที่ Las Vegas และตื่นมาพบว่าเพื่อนหายไปคนนึงครับ พวกผมเพิ่งดูเรื่องนี้ และมา Vegas ต่อพอดี เรียกว่าอินเนอร์มาเต็มมากๆ Caesars Palace ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำครับ (ไปตอนภาค 1 เพิ่งฉาย แต่มารีวิวตอนภาค 3 เพิ่งฉาย 555)

เลยไปจะเป็น Mirage และ Treasure Island ครับ ตรงหน้า Treasure Island  จะมีเรือโจรสลัดจอดอยู่ ดึกๆจะมีโชว์โจรสลัดให้ดูด้วยครับ

ฝั่งตรงข้ามจะเป็น Venetian ครับ เป็นโรงแรมที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปข้างใน และค่อนข้างชอบครับ ธีมของโรงแรคือเวนิชครับ ในโรงแรมจะมีคลอง และมีเรือกอนโดราให้นั่งครับ สวยงามมากทีเดียว

จากจุดนี้ไปผมนั่งรถบัสข้ามไปลงที่ Circus Circus เลยครับ เลยไม่ได้แวะดูโรงแรมที่เหลือ ซึ่งพอไปถึง Circus Circus ส่วนที่เปิดให้เข้าชมก็ปิดเกือบหมดแล้วครับ เลยได้แค่เดินดูด้านนอก

นอกจากโรงแรมแล้ว ยังมีแหล่งชอปปิ้งอีกหลายที่ครับ รวมทั้งมีรถบัสที่จะพาเราออกไป Premium Outlet ที่อยู่นอกเมืองด้วยครับ สำหรับขาช้อปที่นี่ก็คือสวรรค์เลยทีเดียว

วันนั้นผมเดินไปตาม Strip ของ Vegas ตั้งแต่เที่ยงๆ แวะนู่นนี่ไปเรื่อยๆครับ มาจบที่ Circus Circus ตอนประมาณตี 4 โดยที่ตัวผมเองยังคิดว่าตอนนั้นยังแค่สองสามทุ่มอยู่เลยครับ เป็นเมืองที่ไม่มีวันเวลาจริงๆครับ ไม่แนะนำให้พาเด็กๆไปนะครับ เพราะอบายมุขที่เพียบบบ การ์ดพร้อมเบอร์โทรศัพท์มีแจกอยู่ทุกสี่แยกครับ ร่วงเต็มพื้นเหมือนใบไม้ให้ พอดึกๆลมทะเลทรายก็พัดพาการ์ดเหล่านี้ปลิวออกจากเมืองไปไม่ต้องจ้างคนกวาดพื้น ตามใต้โรงแรมเกือบทุกแห่งจะเป็น Casino และมี Strip Club บางทีก็รวมทั้งสองไว้ด้วยกันแบบ Open Air ด้วย เครื่องดื่มมีขายตลอดทางที่เดินไปครับ สามารถซื้อเป็นหลอดยาวเอาไว้สะพาย เดินดูดไปเรื่อยๆได้ มีจุดให้เติมตลอดครับ

          ผมใช้เวลาอยู่ที่ Vegas ประมาณ 2 วันเต็มๆครับ ในเย็นวันที่ 2 ผมก็นั่งรถ Greyhound ข้ามเมืองไป LA ครับ ถ้ามากะเก็บให้ครบ จริงๆควรมีสัก 3 วันนะครับ เพราะนอกจากที่กล่าวมา ผมยังพลาดไปอีกหลายแห่งครับ ที่อยากไปมากๆคือ Stratosphere ครับ บนยอดมีจุดให้ขึ้นไปชมวิว จะเห็น Vegas ทั้งเมืองเลย และมีเครื่องเล่นให้เล่นด้วยครับ ใครมีโอกาสไปฝากไปลองเล่นแทนผมด้วยนะครับ


Los angeles, California

          ณ ตอนนี้ผมได้จากลาเพื่อนๆที่ GC เรียบร้อยหมดแล้วนะครับ กลับมาเป็นบอยแบรนด์ชายฉกรรจ์ 3 คนเหมือนตอนขามา และตอนนี้ก็มาถึงจุดสุดท้ายของการเดินทางอันยาวนานของเราแล้ว

          รถบัส Greyhound พาเรามาส่งที่สถานีขนส่งตอนเช้า พวกเราได้จองโรงแรมใน LA ไว้เรียบร้อยแล้วคือ Holiday Inn ที่อยู่ติดกับสนามบิน LAX  การเดินทางสะดวกมากเพราะจะมีของโรงแรมไปส่งที่ LAX ตลอด ซึ่งเราสามารถติดรถนี้ไปลงที่อื่นๆได้ เช่น สถานีรถไฟ แต่การเดินทางจาก Greyhound มาที่พักเรานั้นค่อนข้างไกล เราเหมาแท๊กซี่ไปกันสามคัน เสียไปเป็นหลักพันบาทเลยทีเดียว

          เมื่อมาถึงแล้ว Reception ก็แนะนำว่าที่นี่มีบริการ Day Tour ให้ โดยรถมารับ-ส่งให้เรียบร้อยที่โรงแรมเลย พวกเราก็เลยซื้อทัวน์สำหรับไป Hollywood และ Universal Studio ไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ราคาประมาณ 100 USD ครับ ส่วนในวันแรกมันจะเที่ยงแล้ว เราจึงกะว่าจะออกไปเที่ยวรอบๆ LA โดยใช้รถไฟกันครับ

           วันแรกขอไม่กล่าวอะไรมากนะครับ ผลออกมาคือหลงทางกันวายวอด ตอนแรกนั่งรถไฟลงสถานีรถไฟ และขึ้นรถไฟต่อไป China Town เพื่อหาข้าวกิน เดินเล่นนิดหน่อยก็สุ่มลงสถานีรถไฟเล่น (ใช้ Day Pass จะขึ้นลงกี่รอบก็ได้) โผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายก็หลับมานอนพักตอนเย็นๆครับ

China Town นะครับ

Chinatown ลงป้ายไหน ไม่ต้องสืบเลยทีเดียว

ที่ไหนก็ไม่รู้ แรนดอมสถานีแล้วโผล่ขึ้นมาเดินเล่น

           วันที่ 2 มีรถมินิบัสมารอรับที่ๆพักตอนเช้าครับ โดยคนขับรถพาเราไปวนรอบๆ Santa Monica เพื่อชมชายหาดก่อนครับ

รถสีสันสดใสมากกก

หาดที่นี่ขาวสวยอยู่ครับ (เน้นว่าหาดนะครับ)

ชมหาดอยู่แว๊บนึง คนขับก็พาต่อไปวนรอบๆย่านที่ไฮโซที่สุดใน LA นั่นคือ Beverly Hill นั่นเองครับ

น่าอยู่จริงๆครับ สวยงามสะอาดเรียบร้อยมาก

ฺBugatti Veyron รถที่แพงที่สุดในอเมริกาครับ ไกด์ถึงกับชะลอให้ดู ไม่รู้ปัจจุบันยังแพงที่สุดอยู่มั้ย

          เราแวะพักเที่ยงที่ Farmer Market ครับ เป็นเหมือน Community lot ทั่วไปครับ มีร้านขายของทั้งเป็นแบบ Market และเป็น Shop ขายแบรนด์เนมครับ พวกเราเน้นกินข้าวกันมากกว่า เลยเดินอยู่แป๊ปนึง

อยู่นั่นไม่รู้จะกินอะไรก็เข้าร้านอาหารจีน ไม่รู้จะสั่งอะไรก็ Stir Fry กับ Orange chicken

           หลังจากนั้นก็าต่อที่ Hollywood Walk of Fame จุดนี้คนขับจอดให้เราลงเดินไปตามถนนครับ สุดทางจะเป็น Chinese Theater และ Kodak Theater ครับ

Walk of Fame อันโด่งดัง

รักใครชอบใครจัดไปรัวๆครับ

มีอะไรให้ถ่ายรูปด้วยตลอดทาง

Chinese Theater ครับ คนมหาศาลมากๆ

Kodak Theater

ป้าย Hollywood อันโด่งดังครับ

          และแล้วก็มาถึงส่วนหลักของ Tour นี้ครับ Universal Studio นั่นเอง ข้างในจะแบ่งเป็นโซนๆครับ ทั้งส่วนที่เป็นการแสดง และเครื่องเล่นครับ ส่วนที่เป็นไฮไลท์คือการพาชม Studio ถ่ายหนังครับ จะได้เห็นเซ็ตของหนังดังๆ และเอฟเฟกที่ใช้ครับ ตอนผมไปเป็นช่วง Fast ภาคใหม่เพิ่งจะเข้าฉาย ก็เลยจะมีโชว์เอฟเฟกรถระเบิดครับ นอกนั้นก็จะเป็นพวกร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารที่ทำตามธีมของหนังและการ์ตูนต่างๆครับ

สตั๊นของวิน ดีเซลครับ ตอนอยู่ในรถเหมือนมากก แต่พออกมายืนนี่ตัวเตี้ยกว่าวิน ดีเซลมากครับ

บรรดาร้านขายของที่ระลึกครับ

Show Waterworld

หนังสามมิติครับ จะมี Shrek กับ Terminator

          เครื่องเล่นใหญ่ๆเท่าที่จำได้ จะมี 4 อันนะครับ คือ The Simpsons Ride, Curious George, Jurassic Park, Mummy the Ride โดยที่นี่จะแบ่งเป็น 2 ชั้นครับ เครื่องเล่น 2 อันแรกจะอยู่ด้านบนครับ สองอันหลังต้องลงบันไดเลื่อนไปด้านล่าง

Curious George

The Simpsons Ride

โซนด้านล่างครับ

Jurassic Park

Mummy the Ride

         พวกผมมีเวลานั่งแค่อันเดียวคือ Jurassic Park ครับ อันที่จริงผมอยากนั่ง The Simpsons Ride ใจจะขาด TT^TT แต่เวลาน้อยต้องทำใจครับ Jurassic Park จะเป็นการนั่งเรือล่องเข้าไปครับ ช่วงท้ายจะเปียกนิดหน่อยครับ เลยเก็บกล้องไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ

ส่วนสุดท้ายคือการเข้าไปดู Studio ครับ จะเปิดเป็นรอบๆ ให้เรานั่งรถเข้าไปชมครับ เป็นจุดเด่นของที่นี่เลยครับ ถ้าไม่เข้าไปดูสตูดิโอนี่เหมือนมาไม่ถึง Universal

มี Scooby-Doo นั่นรถสวนมา

Effect รถกระเด็นใน Fast ครับ

รถจี๊ปจาก Jurassic Park

หมู่บ้านโดนน้ำท่วม เป็น Scene ที่ถูกใช้บ่อยมากในหนังหลายๆเรื่อง

เพดานถล่มในรถไฟใต้ดินครับ รถจะขับเข้าไปในท่อให้เราเห็นเลย

ฉากฆาตรกรรมใน Bate Motel อันโด่งดัง จากเรื่อง Psycho ครับ

เครื่องบินตกใน War of the world

           นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Land mark สำคัญของ Universal Studio ครับ ลูกโลกนั่นเอง เรียกว่าใครไปต้องถ่ายรูปคู่กลับมา ช่วงที่ผมกลับไทยมีเด็กเวิร์คใช้ Profile Facebook เป้นรูปคู่กะลูกโลกนี้เป็นสิบคนเลยครับ


ENDING

ในวันสุดท้ายก่อนกลับไทย พวกเราไม่ได้ทำอะไรมากครับ มีไปซื้อของฝากนิดหน่อย และจัดของเพื่อเตรียมตัวบินกลับไทยครับ ปัญหาหนักๆที่เจอคือนน.กระเป๋าที่เยอะกว่าตอนไปมากมายจนต้องทิ้งของหลายๆอย่างไว้ที่นี่ (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอุปกรณ์กันหนาวครับ) และเศษเงินที่เหลือจำนวนมาก คือพวกผมจะมีกิจกรรมเล่น Poker กันทุกคืนตอนทำงานครับ จะใช้เหรียญควอเตอร์เล่นเป็นหลัก และสะสมเหรียญรัฐไปด้วยเลย พอวันสุดท้ายมันก็เลยเหลือเศษเหรียญเป็นถังๆที่แลกคืนไม่ได้ครับ จึงแนะนำให้รีบเคลียร์ก่อนที่จะกลับนะครับ ตอนผมใช้วิธีเอาไปซื้อข้าวครับ เบอเกอร์ 8 USD ต้องนั่งนับเหรียญ 32 เหรียญ เอามาจ่ายเค้า แอบอายนิดถึง แถบเศษ Dime และ Cent ก็แจกแม่บ้านเป็น Tip ไปหมดร่วมๆร้อยกว่าเหรียญครับ (มูลค่าประมาณ 10 USD)

          การกลับไทยของพวกเราค่อนข้างราบรื่นเทียบกับขามาครับ จริงๆจนปัจจุบันก็ยังไม่มีการเดินทางไหนที่จะยุ่งไปกว่าครั้งนั้นอีกแล้วครับ โดยเราขึ้นเครื่องที่ LAX บินกลับด้วย China Eastern คราวนี้ปลั๊กไฟตรงผมใช้การได้ปกติแล้วครับ แต่ยังฉายหนังสมัยสงครามโลกให้ดูเหมือนเดิม ต่อเครื่องอย่างราบรื่น ยังได้ขนมบนเครื่องเป็นเวเฟอกับบ๊วยเช่นเคย และกลับสู่สุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพครับ

          นี่เป็นการปิดฉากการเดินทางไป Work & Travel ที่ Grand Canyon ของพวกผมนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน รู้ตัวอยู่ว่าเขียนเวิ่นเว้อและยาวมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรกมาก นี่เป็นการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิต มุมมอง และทัศนคติผมที่มีต่อโลกใบนี้อย่างมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางครั้งต่อๆมาของผมครับ จากเด็กขาดความมั่นใจที่ไม่เคยมองออกไปไกลเกินชายแดนประเทศไทย วันนี้โลกทั้งคือสนามหลังบ้านแห่งใหม่ที่รอการไปสัมผัสครับ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่ผมจะไม่กล้าไปเยือน ไม่ว่าจะต่างวัฒนธรรมหรือภาษาซักเพียงใด (ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบินแพงนะครับ เงินเดือนมะค่อยมี orz )

          สำหรับน้องๆที่กำลังจะไปหรือลังเลที่จะไปครับ ผมขอย้ำอีกครั้งเลยครับ ว่าอย่าได้ลังเล เรียนจบไปเราจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ความรู้ประสบการณ์ยิ่งมีเยอะยิ่งมีเร็ว ยิ่งเพิ่มพูนประโยชน์ให้กับเราครับ คนที่กำลังไปก็ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดนะครับ หาเพื่อนไว้เยอะๆสร้าง connection มากๆ พูดให้มาก ฟังให้มาก เรียนรู้ให้มาก ค้นหาเส้นทางชีวิตของตัวเองให้เจอ และสนุกไปกับมันครับ

ที่สำคัญคือ เที่ยวให้เยอะๆครับ เพราะนี่คือสาเหตุที่น้องๆเข้าโครงการนี้ไม่ใช่หรอครับ...

Thank you for every moment we spend together...

Mountain Seal

 วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.36 น.

ความคิดเห็น