จังหวัดแรกของการเดินทางท่องเที่ยววิถีไทย แบบเกร๋ๆ

ซึ่งปีนี้ ททท. เค้าก็ได้ใช้แคมเปญนี้ในการโปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศไทย

แต่ท่องเที่ยววิถีไทยนี่มันยังไงละ กินผัดไทเหรอ หรือต้องไปต่อยมวยไทย

เราว่าอันนั้นมันเป็นแค่กิมมิกในโฆษณา

แต่อันที่จริง ททท. เค้าคงหมายถึงการท่องเที่ยวที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงความเป็นไทยได้จริงๆ

และวันนึงเราก็ได้ออกเดินทางและคิดว่าทริปนี้แหละไท๊ยไทยดีจริงๆ

วันนี้จึงจะขอมานำเสนอแก่สายตาทุกท่านค่ะ

...


นี่คือแผนที่เดินทางในทรปนี้ของเรา นอกจากสถานที่หลักๆที่เราไป ในแผนที่จะมีสถานที่แนะนำ

ที่ควรแวะเมื่อผ่านเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น ภูทอก ที่เขียงคาน, วัดผาตากเสื้อ ที่นี่มีเกล็ดพญานาคริมโขง

หนึ่งในเคมเปญ dream destination ของ ททท. และก็ยังมีวัดหินหมากเป้ง

เลยไปอีกหน่อยก็จะเจอวังบัวชมพู ที่จังหวัดหนองคาย

...

ทริปนี้เราเริ่มที่เชียงคาน แต่อันที่จริงเราก็อาศัยอยู่ที่กรุงเทพเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพ

แต่ว่าไปแวะนู่นแวะนี่เลยขอรวบรัดตัดตอนมาเริ่มต้นที่เชียงคานเลยแล้วกันนะคะ

ทริปนี้ต้องบอกว่าไม่ได้มีการวางแผนแบบตายตัวมีเพียงข้อมูลของสถานที่ต่างๆไว้

พอถึงเวลาเดินทางจริงก็ค่อยมานึกกันวันต่อวันว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะไปไหนกันบ้าง

แต่วันนี้ขอมาตั้งหลักปักฐานกันที่เชียงคานกันก่อน



ถ้าให้พูดถึงเชียงคานคงน้อยคนที่จะบอกว่าไม่รู้จัก

จริงๆแล้วแต่ก่อนเราไม่ค่อยมีแผนว่าจะเดินทางมาเที่ยวเชียงคานเลย

แต่ที่เมื่อครั้งแรกที่มาเชียงคานเพราะมาทำธุระที่จังหวัดเลย ก็เลยมานอนค้างที่เชียงคาน

ที่บอกว่าไม่เคยคิดอยากจะมาก็คงเป็นเพราะอคติของเราล้วนๆ

คือเชียงคานสำหรับเรามันกลายเป็นเมืองฮิต มีถนนคนเดินอะไรแบบนั้น

ใครๆก็มาคนล้นหลามมหาศาล นึกแล้วก็ชวนขนลุก

...

แต่เมื่อมาถึงเชียงคานอคติที่เคยมีก็กลายเป็นความชื่นชอบ

อ้าวไม่มีจุดยืนเลยนะเรา สาเหตุที่เราเปลี่ยนความคิดอาจเป็นเพราะ

เรามาเที่ยวเชียงคานในวันธรรมดา ไม่ใช่เสาร์ อาทิตย์ ไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น

เชียงคานเมืองที่แสนยั๊วเยี๊ยะ จึงเงียบๆ สงบๆดู สโล๊ววว สโลวไลฟ์จริงๆ



ถ้าพูดถึงเชียงคานในด้านการท่องเที่ยวทุกคนคงรู้จักดี แต่จะมีใครรู้บ้าง

ว่าเมืองเชียงคานแห่งนี้เมื่ออดีตเคยเป็นส่วนนึงของ สปป.ลาว

และด้วยผลจากสงครามทำให้ส่วนนี้กลายเป็นของไทย ประวัติศาสตร์ไม่ขออธิบายมากแล้วกันนะคะ

เดี๋ยวรีวิวจะกลายเป็นจดหมายเหตุไป อิอิ

และเมื่อในสมัยโบร่ำโบราณเมืองเชียงคานมีชื่อเสียงในด้านการทำผ้าห่มฝ้าย ผ้านวมจากฝ้าย

ไม่น่าละเราสังเกตได้ว่าที่นี่มีร้านเย็บผ้าอยู่หลายร้าน ในสมัยก่อนคงมีอยู่เต็มไปหมด

แต่ในปัจจุบันความนิยมของผ้าห่มฝ้ายก็เริ่มลดลงจึงเหลือบ้านที่ทำอยู่ไม่กี่บ้าน



เสน่ห์ของเชียงคานถ้าให้พูดถึงแล้วคงอธิบายออกมาได้คร่าวๆประมาณว่า

เมืองเล็กๆ มีบ้านบ้านไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง และอากาศดีแทบจะทั้งปี


แล้วมันก็ใกล้เคียงกับที่เราบอกนั่นแหละค่ะ แต่เพียงว่าเดี๋ยวนี้บ้านไม้เก่าๆ ดั้งเดิม

ก็หลงเหลืออยู่น้อยเต็มที สิ่งปลูกสร้างเริ่มมีขึ้นมาใหม่ทั้งบ้านที่เป็นปูนเลยก็มี บ้านที่สร้างจากไม้ก็มี

บางที่ก็สร้างเลียนแบบพยายามให้เหมือนของเก่ามากที่สุด

เช่นธนาคารกรุงไทยซึ่งก็ทำออกมาได้ดีดูกลมกลืนกับของดั้งเดิม 7-11 ก็พยายามทำให้ดูเป็นบ้านไม้




แต่กลิ่นอายบ้านไม้แบบเก่าๆ มันก็ต้องเริ่มเจือจางไปตามกาลเวลา

ถึงเราจะไม่สามารถสต๊าฟให้เชียงคานอยู่แบบเดิมเหมือนเมื่อ 100 ปีก่อนได้

เสน่ห์ของเมืองเล็กแห่งนี้ก็ยังมีอยู่ เพราะไม่น่าเชื่อว่าอากาศที่นี่ดีจริงๆ แม้ว่าเราจะไปในช่วงฤดูร้อนก็ตาม



และน่าจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน เพราะฉะนั้นการขี่จักรยานท่องเมืองไปอย่างช้าๆ

แวะหาอะไรกินอร่อยๆ ใช้ชีวิตเนิบๆ ช้าๆ ไปกับอากาศเย็นๆ ก็ยังคงเหมาะสำหรับที่นี่อยู่

จะมีสักกี่ที่ที่เราปั่นจักรยานทั่วเมืองได้โดยที่เหงื่อไม่ออกสักเม็ด (เพราะเราให้แฟนปั่นไง 555)



มาเอ่ยถึงรังนอนของเราเมื่อคืนกันบ้างดีกว่า เราพักที่ "เรือนริมโขง สมบัตินายท้ายเรือ"

ชื่ออาจจะยาวไปหน่อยแต่ที่พักโอเคค่ะ เนื่องจากมาถึงดึกมาก ที่อื่นๆปิดหมดแล้ว

ที่นี่ก็ปิดแล้วเช่นกัน แต่พอดีเดินหาอยู่มาเจอวงเหล้าของพี่ๆเหล่าฮิปสเตอร์รุ่นใหญ่

ก็เลยไปถามเค้าก็ช่วยเคาะเรียกเจ้าของให้ค่ะ ก็เลยได้ที่ซุกหัวนอนมาในคืนนั้น

ไม่อย่างนั้นคงได้นอนในรถเป็นแน่แท้



แต่ที่พักก็ดีค่ะ ราคา 800 บาท ไม่มีอาหารเช้านะคะ ตอนเราไปห้องน่าจะพึ่งเสร็จ

เพราะนอนดมกลิ่นแล๊กเกอร์กันทั้งคืน แต่เราไม่ซีเรียสค่ะ แค่ตอนเช้ามีอาการเหมือนคนเมากาวนิดหน่อย 55555

ที่นี่อยู่ติดแม่น้ำโขงเลยนะคะวิวดีมาก 800 บาทก็ถือว่าโอเคอยู่

ข้างมีที่พักอีกที่ชื่อ "นอนนับดาวรีสอร์ท" ที่นี่สวยดีค่ะดูเป็นทางการดี



แต่จะมีบางห้องเท่านั้นที่เปิดประตูมาจ๊ะเอ๋แม่น้ำโขงเพราะฉะนั้นตอนจองลองถามให้ดีนะคะ

จะได้ห้องวิวสวยๆ ทั้งสองที่นี้อยู่เชียงคานซอย 3

เดี๋ยวจะพาไปส่องที่พักที่เราอยากมาพักนะคะ เสียดายนิดหน่อยเอาไว้คราวหน้าแล้วกัน

ที่นี่ค่ะ "บ้านชานเคียง ที่เชียงคาน" เกสเฮ้าส์เล็กๆ บรรยากาศน่ารักๆ



ส่วนที่นี่โรงแรมพูนสวัสดิ์ ที่น่าสนใจเพราะเป็นโรงแรมเรือนไม้แห่งแรกของอำเภอเชียงคาน

สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2493 โน้น แต่ไม่ต้องกลัวว่าไปพักแล้วโรงแรมจะพุพังนะคะ 5555

เพราะเค้ามีการซ่อมแซมให้ดูใหม่อยู่ค่ะ

.....



หลังจากไปชะโงกที่โรงแรมพูนสวัสดิ์มา ก็แว๊บไปซื้อของฝากน่ารักกุ๊บกิ๊บกันที่

ร้านสองผัวเมียเกสเฮ้าส์สักหน่อยที่นี่ก็ตกแต่งร้านสวยน่ารักดีค่ะ

เป็นเกสเฮ้าส์และร้านขายของที่ระลึกชื่อดังของที่นี่



สิ่งนึงที่เมื่อมาเชียงคานแล้วน่าจะทำ ก็คือการใส่บาตรข้าวเหนียว

จริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายขนาดนั้น แต่สำหรับเราคิดอย่างนึงว่า

เมื่อไปถึงสถานที่ต่างๆ และมีวัฒนธรรม ประเพณีอะไรที่เราสามารถปฏิบัติได้

ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ เพราะปกติแล้วเราก็ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้บ่อยนักใช่มั้ยค่ะ

และบางทีอาจจะหาโอกาสทำแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ



ด้วยปนิธานอันแน่วแน่ต่อการสืบสานวัฒนธรรม เช้าวันนี้เราจึง....

ตื่นสาย 5555555555 อายจุง แต่เราก็ไม่ได้ละเลยตื่นปุ๊บเรารีบลงไปด้านล่าง

ถามคุณป้าเจ้าของที่พัก คุณป้าบอกพระผ่านตรงนี้ไปแล้วลูก

ป้าบอกให้เราไปดักที่หน้าวัดซิอาจจะทัน และบอกให้เราขี่จักรยานของที่พักไปด้วย

จากนั้นก็ปั่นยิกๆ ซิค่ะและแล้วเราก็ไปทันก่อนที่พระท่านจะเลี้ยวเข้าวัดไปซะก่อน

เอาน่าถึงจะดูชุกละหุกแต่เราก็มีความตั้งใจนะ (แก้ตัว) ถือว่าภารกิจสำเร็จ


ไหนๆก็มาถึงวัดก็เลยเข้าไปไหว้พระในโบสถ์สักหน่อย

วัดนี้ชื่อวัด วัดศรีคุนเมือง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2485 โน่น เป็นวัดเก่าแก่ของเชียงคาน



ใส่บาตรให้พระฉันแล้วก็ได้เวลาหาอาหารทานเองบ้าง

ขี่จักรยานไปเรื่อย (ก็บอกแล้วว่าไม่มีแผน) ก็ไปเจอร้านอาหารร้านนึง



ดูคนเยอะน่าจะเป็นร้านเก่าแก่ ชื่อร้านลุกโภชนา รสชาติอาหารก็ใช้ได้

แต่เราชอบติ่มซำที่นี่จัง อร่อยขนาดตอนออกจากเชียงคานยังแวะไปซื้อเลย

….

อิ่มท้องเสร็จกลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยก่อนเก็บของเตรียมตัวออกจากเชียงคานแล้ว

ที่เชียงคานมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่หนึ่งก็คือ ภูทอก จุดชมวิวอันสวยงาม

หากใครโชคดีก็จะเจอทะเลหมอกสวยๆที่นี่ แต่วันนี้เราโชคไม่ดีค่ะ เพราะไม่ได้ไป

เราก็เลยไปแวะนิดหน่อยที่แก่งคุดคู้สถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ที่ควรแวะมาเยี่ยมชม

ห่างจากเชียงคานประมาณ 3 กิโล จริงๆสามารถขี่จักรยานไปเที่ยวได้เลย



ประวัติของแก่งคุดคู้ก็คือนานแล้วมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ "จึ่งขึ่งดั้งแดง"

รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน มีฝีมือในการล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นี้ตามล่าควายเงิน

มาจากหลวงพระบาง (ที่เรียกควายเงินเพราะมูลของควายตัวนี้เป็นเงิน)

พอมาถึงริมน้ำโขงเห็นควายเงินพักกินน้ำ นายพรานจึงดักซุ่มยิง

พอดีชาวบ้านแล่นเรือผ่านมา ควายเงินตกใจตื่นเตลิดขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง

(ต่อมาเขาลูกนี้ได้ชื่อว่า"ภูควายเงิน") นายพรานเลยยิงไปถูกเขาอีกลูกจนพังทลายไปซีกหนึ่ง

กลายเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ภูผาแบ่น"

นายพรานโกรธคนที่แล่นเรือผ่านซึ่งเป็น ต้นเหตุให้ควายเงินหนีไป

จึงกลั่นแกล้งด้วยการขนหินมาขวางกั้นลำโขงไม่ให้เดินเรือได้

นายพรานทำการเกือบจะสำเร็จ ก็พอดีมีสามเณรรูปหนึ่งมาเห็นเข้า

เณรนั้นออกอุบายหลอกให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ (ไม้ใผ่ชนิดหนึ่ง) ผ่าซีกหาบหินแทน

ไม้เฮียะผ่าแล้วจะเป็นสันคมกริบ เมื่อนายพรานใช้หาบหิน ไม้นั้นก็บาดคอนอนตายคุดคู้อยู่ที่ริมโขงนั้นเอง

แก่งหินนั้นจึงเรียกว่า "แก่งคุดคู้" อันนี้เป็นประวัติตามความเชื่อของชาวบ้านนะคะ

อันที่จริงแก่งนั้นก็คือก้อนหินที่ตั้งขวางอยู่บนลำนำ และโดนกระแสน้ำกัดเซาะ

จนกลายเป็นแก่งใหญ่น้อยต่างๆ นั่นแล




ช่วงที่เราไปน้ำลด จึงเกิดเป็นหาดทรายขึ้นมาดูไปก็เหมือนทะเลเหมือนกันนะ

แดดก็แรงพอๆกับไปทะเลเลย




จากเชียงคาน จะพาไปเที่ยวแบบวิถีไท๊ยไทยกันต่อที่จังหวัดหนองคาย

ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาเที่ยวที่หนองคายแต่ด้วยโชคชะตาพัดพามาก็เลยมีโอกาส

จากเชียงคานเราพุ่งตรงไปที่อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย

และแล้วจังหวัดที่เราไม่คิดจะมาก็หลายเป็นอีกสถานที่ที่เราอยากจะกลับไป

ทำไมนะเหรอ ก็เพียงแค่เริ่มตั้งแต่เดินทางออกจากเชียงคานขับรถไปหนองคาย

เส้นทางที่ผ่านช่างสวยงามเหลือเกิน ถนนเส้นนี้ตัดขนานกับแม่น้ำโขงเลยค่ะ

เพราะฉะนั้นทัศนียภาพระหว่างทางจึงสวยงามจริงๆ เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา

เพราะตอนนั้นรีบกลัวจะไปถึงมืดเพราะออกจากเชียงคานก็เย็นแล้ว

ถึงถนนเส้นนี้จะสวยแต่พอฟ้ามืดความสวยมันก็หลายเป็นความน่ากลัวนะคะ

เส้นทางนี้ค่อนข้างเปลี่ยวใครจะใช้แนะนำควรเดินทางตอนกลางวันค่ะ

เราเดินทางถึงอำเภอสังคมราวๆสองทุ่ม แต่ที่นั่นก็เงียบแล้วค่ะ

คงเพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ก็วังเวงหวิวๆนิดหน่อย ทีแรกเราจะพักที่

บ้านไม้ริมโขงค่ะ ถามอากู๋ กูเกิ้ลมา แต่ดูแล้วมันเลยจากเป้าหมายของเราไปไกลสักหน่อย

เราเลยเปลี่ยนจุดหมายไปนอนที่ครัวไม้น้ำ ที่ครัวไม้น้ำไม่มีบ้านพักหรอกนะคะ

ที่พักทั้งหมดเป็นเต้นท์ ส่วนเราอุปกรณ์พร้อมนำเต้นท์ไปเอง มีห้องน้ำรวมแต่สะอาดดี


เหตุผลที่เรามาที่บ้านม่วง อำเภอสังคมแห่งนี้ก็เพราะเรามีสถานที่นึงที่ตั้งใจว่าจะไป

สถานที่นั้นก็คือ "ภูห้วยอีสัน" ที่เค้าว่ากันว่าเป็นอันซีนอินหนองคาย

การเดินทางมาที่บ้านม่วง ค่อนข้างลำบากหากไม่มีรถส่วนตัวแต่ก็พอมีรถโดยสารอาจต้องเช็คเวลาให้ดีก่อน

โดยนั่งรถโดยสารประจำทางสาย 507 จากสถานีขนส่งหนองคายไปยังตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม

หากต้องการข้อมูลในเรื่องการเดินทางเพิ่มเติมเข้าไปที่

www.baanmuang.com หรือ www.facebook.com/BaanMuang.Nongkhai

….

ส่วนที่พักถ้านอนเต้นท์ได้เราแนะนำที่ครัวไม้น้ำนี่แหละค่ะ จะสะดวกมาก

เพราะในตอนเช้าที่นี่เป็นจุดขึ้นรถอีแต๊กขึ้นภูห้วยอีสัน ตื่นปุ๊บกระโดดขึ้นรถอีแต๊กปั๊บ

แต่ถ้าใครนอนเต้นท์ไม่สะดวกก็แนะนำแม่โขงริเวอร์วิวอยู่ที่บ้างม่วง

หรือบ้านไม้ริมโขงจะอยู่ที่ตัวอำเภอสังคมห่างจากจุดขึ้นรถอีแต๊กประมาณ 20 กม.

และโซนๆเดียวกับบ้านไม้ริมโขงก็ยังมีรีสอร์ทอีกหลายที่ค่ะ



การขึ้นไปชมภูห้วยอีสันควรตื่นแต่เช้าค่ะเพราะจะได้ขึ้นไปชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น

เราตื่นตีห้าครึ่งต้องรอคิวรถอีแต๊กขึ้นภูอีก ค่ารถอีแต๊กขึ้นภูคนละ 60 บาทขาขึ้นขาลงจะไปคันไหนก็ได้

นั่งรถประมาณ 15 นาที และนี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่าท่องเที่ยวแบบวิถีไท๊ยไทย

นั่งรถอีแต๊กเที่ยวแบบนี้ที่ไหนจะมีล่ะค่ะ นอกจากที่นี่บ้านเรา

นั่งรถอีแต๊กคลุกฝุ่นขึ้นไปถึงด้านบนยังกับเป็นกุ้งชุบแป้งทอดอย่างไรอย่างนั้น



รองเท้าที่เคยขาวกางเกงที่เคยดำเปลี่ยนไปโดยปริยาย แต่ก็นั่นแหละเป็นเวลาที่สนุกสนาน

และประทับใจ ปรกติแฟนเราจะเป็นคนขับรถ วันนี้ได้นั่งรถแล้วไม่ต้องขับเองด้วย

แม้จะหวานเย็น เสียงเครื่องดังแต๊กๆๆๆ สมกับชื่อเลย ช้าๆ แบบนี้ก็ดีไม่ได้รู้สึกรีบอะไร

เพราะอากาศดีเหมือนได้สูดโอโซน(และฝุ่น)เต็มที่ 55555



ในที่สุดก็ถึงยอดภูสักที แต่วันนี้ทีแรกคิดว่าโชคไม่ดีที่ไม่เจอทะเลหมอก

แต่ เห้ยๆ เราว่าไม่นะ ดูวิวซิสวยชะมัด หาวิวแบบนี้ได้ที่ไหน

เราไปมาหลายดอย หลายภูละนะ แต่วิวที่นี่สวยจริงๆ ไม่ได้ปลอบใจตัวเองด้วย


วิวจากภูเขาลูกน้อย เห็นหมอกบางๆ ลอยอยู่เหนือสายน้ำโขง มีแก่งเล็กน้อยอยู่ในแม่น้ำนั่น

มีดอกหญ้า ต้นกล้วยเป็นโฟร์กราวน์ ราวกับมีคนมาปลูกไว้ให้ มันสวยจริงๆนะ

พอมารวมกับแสงเช้าพระอาทิตย์ดวงโตๆ นี่แหละสาเหตุที่บอกให้ตื่นเช้าๆ

คุณเชื่อมั้ยการตื่นเช้าออกมาชมวิวเวลาไปเที่ยวเนี่ย

มันสามารถทำให้คุณเห็นสถานที่เดิมๆสถานที่นั้น เปลี่ยนแปลงไปอีกแบบนึงได้เลย



เราดื่มด่ำความสุขอยู่บนนั้นซะนาน รอจนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าจนแสงจ้า



เราจึงลงจากภูกลับมาที่ครัวไม้น้ำเริ่มเก็บข้าวของ เสียดายที่ไม่ได้ชิมอาหารที่ครัวไม้น้ำเลย

นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็เริ่มเก็บเต้นท์กันแล้วเพราะแดดเริ่มไล่

เราลงไปเก็บภาพบรรยากาศวิวรอบๆของลานกางเต้นท์ซะหน่อย

รีสอร์ทบางที่คืนละเป็นหลักพันยังหาวิวแบบนี้ไม่ได้เลยนะคะ


เราออกจากครัวไม้น้ำขับรถเลียบโขงมาเรื่อยๆ จนถึงตัวอำเภอสังคม แวะทานอาหารเช้าที่ร้านทานตะวัน



ร้านน่านั่ง วิวสวยๆ ริมโขงอีกแล้วครับท่าน ตราบใดที่อยู่บนถนนเส้นนี้ก็ยังคงมีวิวสวยๆให้ชมได้ตลอด

ราคาอาหารก็ไม่แพงเลยถ้าเทียบกับเชียงคานราคาต่างกันเกือบหนึ่งเท่าเลย



ถึงตอนนี้เราเริ่มอินกับถนนเส้นนี้เอามากๆ ถึงกับขนาดคิดเล่นๆ

ว่าถ้ามาหาซื้อที่ริมโขงแถวนี้จะดีมั้ยแต่แค่คิดนะ เพราะ...ไม่มีตัง 555555

สำหรับจังหวัดนี้ต้องหาโอกาสกลับมาอีก เพราะชอบแล้วละด้วยความที่ยังไม่นิยมมาก

คนไม่เยอะ ของไม่แพง รถไม่ติด แถมวิวก็สวยเพราะจังหวัดหนองคาย

มีลักษณะเป็นแนวยาวขนานกับแม่น้ำโขงแทบจะทั้งจังหวัดเลย เราคิดว่าอีกไม่นาน

หนองคายจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแน่นอน

...

คงต้องลาหนองคายไว้เพียงเท่านี้และไปต่อที่จังหวัดอุดรธานี

สถานที่เช็คอินต่อไปของเราคือทะเลบัวแดง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี

ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีดอกบัวเต็มไปทั่วทะเลสาบเลยได้รับขนานามว่าเป็นทะเลบัวแดง

จนนิตยสาร Travel + Leisure Travel Guides ยกให้ทะเลบัวแดงเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่แปลกที่สุดในโลก

1 แห่ง 15 แห่งของโลกเลยนะคะ น่าภูมิใจจริงๆ



จากอำเภอสังคม หนองคาย ไปหนองหาน อุดรธานี ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร

และเราก็ไปถึงที่นั่นมืดค่ำอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้สร้างความกังวลใจให้เราไม่น้อย

เพราะคืนนี้เรายังไม่มีที่พักอีกนั่นแหละ และพอเข้ามาก็งงเป็นไก่ตาแตก จะนอนที่ไหนละเนี่ย

เคยอ่านมาเห็นว่าที่นี่มีแต่โฮมสเตย์ของชาวบ้าน แต่มาถึงค่ำแล้วจะถามชาวบ้านที่ไหนเนี่ย

ซุ่มสี่ซุ่มห้าไปถามตามบ้านก็ดูจะอุกอาจเกินไปมั้ย แต่เดชะบุญในวัดมีเหมือนงานวัดเล็กๆ

มีคนขายของอยู่เลยเข้าไปถาม ก็ไปเจอผู้หญิงคนนึงเข้ามาขายกาแฟให้คุณไมค์อยู่ที่นี่

และเช่าโฮมสเตย์ของคุณยายสำลีอยู่พอดีเค้าเลยบอกไปๆเดี๋ยวพาไปกำลังจะกลับบ้านอยู่พอดี

เราก็ตามเค้าไปอย่างใจง่าย เราเดินผ่านวัด ผ่านโกศเก็บกระดูกไป ออกจากวัดทะลุไปเจอบ้านคุณยายสำลี

อาจจะดูหลอนๆไปหน่อยน่ะแต่ก็หลอนจริงๆแหละ ขากลับต้องเดินกลับมาที่รถคนเดียวด้วย

แต่ความกลัวเกิดจากความมืดพอเช้าก็เห็นว่าไม่มีอะไรเลยเมื่อคืนล้วนแต่เกิดจากจินตนาการทั้งสิ้น



บ้านคุณยายสำลีโอเคมากค่ะ บ้านสะอาดสะอ้านดีเราพักที่ชั้นสองวันนี้มีแค่เรากับแฟน

แต่ข้างบนสามารถพักได้เป็น 10 คน มี 2 ห้องนอน และด้านหน้าสามารถนอนได้อีก

ห้องนอนก็ประมาณนี้ค่ะ ก็เป็นแบบชาวบ้านปกติเลยสะอาดสะอ้านโอเคมากค่ะ



เราขับรถมาจอดในบ้านของคุณยายเลย ปลอดภัยดีค่ะคุณยายอยู่กับลูกสาวและลูกเขย

คุณยายเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์มาประมาณ 5 ปีแล้ว คุณยายน่ารักค่ะ ชวนคุยตลอดเสียแต่ว่าเราคุยไม่เก่ง

ถ้าเป็นคนคุยเก่งคงคุยกับคุณยายสนุก พอเข้าบ้านแล้วเราเดินออกไปร้านขายของชำในหมู่บ้าน

ไปซื้อน้ำและขนมมาทานกัน คือเรามาถึงที่นี่ค่ำแล้วเลยไม่มีร้านอาหารเปิดให้กินแล้ว

เรานั่งเล่นที่ระเบียงบ้านปูเสื่อเปิดเพลงเบาๆนอนดูดาวอยู่ที่ระเบียงอากาศดี

สักพักคุณยายสำลีเดินขึ้นมาหา ชวนเราคุยเล่าเรื่องของคุณยายให้เราฟัง แกน่ารักดีนะคะ

นอนเล่นสักพักอาการง่วงก็ขึ้นตาและพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้ากันอีกแล้ว

เพราะว่าดอกบัวเค้าจะบานในช่วงเช้าเกิน 11.00 ดอกบัวก็จะหุบไม่สวยงาม

เพราะฉะนั้นเวลาที่เหมาะสมคือ 05.00 - 11.00 ทำไมนะของสวยๆงามๆมักมีตอนเช้าเสมอ



นาฬิกาปลุกดังตอนหกโมงเช้า จริงๆแทบไม่ต้องตั้งนาฬิกา เพราะจะมีเสียงตามสาย

จากทะเลบัวแดงดังมาในหมู่บ้านเลย เพราะบ้านเดียมนี่อยู่ริมทะเลบัวแดงเลยค่ะ

คือสะดวกมากๆที่มานอนที่นี่ ตื่นมาเราก็เดินไปที่ทะเลสาบไปรับบัตรคิวช่วงนั้นคนเยอะต้องรับบัตรคิวก่อน

ไม่อย่างนั้นอาจได้ขึ้นเรือตอนเที่ยงเลย ดอกบัวก็หุบหมดแล้ว

รับบัตรคิวเสร็จเราก็กลับไปปลุกแฟนที่บ้าน พอตื่นมาคุณครูลูกสาวของคุณยายก็บอกว่า

อาหารเช้าเสร็จแล้วนะคะเป็นข้าวต้มกระดูกหมู แต่เราขอไปชมทะเลบัวแดงก่อนดีกว่า

....

ตอนเดินออกไปเจอฝูงควายของชาวบ้าน นักท่องเที่ยวบางคนก็ฮือฮามาก

เพราะเอาจริงๆแล้วเด็กๆ หรือวัยรุ่นสมัยนี้ก็แทบไม่เคยจะเจอกับควายตัวจริงๆกันแล้วนะคะ

คิดแล้วน่าใจหายเหมือนกันนะ เพราะในสมัยก่อนควายมีเต็มไปหมด

เพราะต้องใช้ในการไถนา อาชีพคู่บ้านคู่เมืองของเรา

แต่สมัยนี้กลายเป็นควายเหล็กกันหมดแล้ว

ขนาดเราเองยังหาโอกาสเจอควายได้ไม่บ่อยนัก พอเจอก็ตื่นเต้นนะคะ

ก็ควายเค้าน่ารักจะตาย เคยคิดถ้ามีบ้านที่เยอะๆจะไปไถ่ชีวิตน้องควายมาเลี้ยงสักตัว



ตอนจองคิวลงเรือเจ้าหน้าที่จะให้เราเลือกว่าจะนั่งเรือแบบไหนค่ะเพราะมันคนละราคากัน

เรือมีสองแบบคือแบบมีหลังคาและแบบเรือหางยาวเราเลือกแบบมีหลังคาค่ะพอแดดออกจะได้ไม่ร้อน



พอถึงคิวก็ไปลงเรือได้เลย ยื่นบัตรคิวให้เจ้าหน้าที่

ตอนนี้เรายังไม่เห็นดอกบัวหรอกนะคะแต่อย่าพึ่งถอดใจ เราต้องนั่งเรืออกไปสักพัก

เราจะเจอดอกบัวนับร้อยนับพันนับหมื่นหรือนับแสนก็ไม่รู้เพราะเดาไม่ถูกมันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

มองหาอีกฝั่งของทะเลสาบไม่เจอ จะเจอได้ยังไงละคะเพราะที่ใหญ่ตั้งสองหมื่นกว่าไร่



ทะเลบัวแดง ที่จริงก็คือทะเลสาปหนองหานหรือบึงหนองหาน

เป็นทะเลสาปน้ำจืดขนาดใหญ่มาก นอกจากที่นี่จะมีดอกบัวสวยๆให้เราชมแล้ว

ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ยังมีระบบนิเวศที่ดีอยู่ และเป็นแหล่งอาหารของทั้งคนและสัตว์ต่างๆ



ดอกบัวในวันนี้เราว่าไม่ค่อยหนาแน่นเท่าในภาพของคนอื่นๆที่เราเคยเห็น คุณลุงคนขับเรือบอกว่าจริงๆในวันที่คนไม่เยอะ

จะพาเข้าไปอีกโซนตรงนั้นจะดอกบัวเยอะกว่า แต่ช่วงนี้คนเยอะเลยไม่พาไปเพราะทำรอบได้ช้า

แต่นี่ขนาดไปไม่ทั่วทั้งทะเลสาบยังใช้เวลาเกือบชั่วโมงแสดงว่าที่นี่มันกว้างใหญ่จริงๆนะ



ถ้าให้อธิบายความรู้สึกในตอนนั้นคงต้องบอกว่า ฟิน ขอใช้ศัพท์สมัยใหม่หน่อย

จะไม่ให้ฟินได้ไงค่ะ อากาศเย็นๆจนเกือบจะหนาว นั่งชมดอกบัวที่กำลังบานรับแสงแดดยามเช้า

ภาพที่ออกมามันสวยมากเพียงแต่เราไม่สามารถถ่ายทอดความสวยนั้น

ผ่านมาในภาพถ่ายของเราได้หรอกของจริงมันสวยกว่าเยอะ



หรือจริงๆเราอาจเป็นคนใจง่ายก็ได้เพราะเกือบทุกที่ที่เราไปส่วนมากเราจะชอบและคิดว่ามันสวยงามเสมอ

และก็อยากกลับไปที่นั่นอีก ถ้าที่ไหนที่เราบอกว่าไม่ต้องไปหรอกไม่มีอะไรเลย

ก็อย่าไปเลยค่ะ เพราะคงไม่มีอะไรจริงๆ แหละ

หมดรอบของเราเรือพาเรากลับไปจุดที่ขึ้นเรือ หมดรอบแต่ความสุขเรายังไม่หมดเลย

กลับมาอีกแน่ๆ ที่ทะเลบัวแดง 555555



เราเดินหาอะไรกินนิดๆหน่อยๆที่ตลาดนัดเล็กๆ ในวัดที่เราต้องเดินผ่านกลับบ้านคุณยายสำลี

แวะกินมันเผา ข้าวจี่ และก็กาแฟคุณไมค์ ภิรมย์พร พึ่งรู้ว่าเค้าทำกิจการร้านกาแฟด้วย



พอเข้ามาเราก็เดินเข้าครัวเลยค่ะ ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยเน๊าะ

ก็ลูกสาวคุณยายบอกตามสบายเลยค่ะ

ก็เลยตักข้าวต้มยกเครื่องปรุงออกมานั่งทานที่ม้าหินหน้าบ้าน

ที่นี่จะมี โอวัลติน กาแฟ ให้ทานได้ตลอดค่ะ อยากกินชงเองได้เลยตลอดเวลา




สักพักคุณยายกลับมาจากวัดนั่งคุยเล่นกับคุณยายนิดหน่อย

ทานเสร็จเราขออนุญาตคุณยายขึ้นเป็นเก็บของเตรียมกลับบ้าน

คุณยายบอกว่าเดี๋ยวก่อนๆ จะผูกข้อมือให้ แกก็เอาสายสิญจน์ออกมาผูกข้อมือให้เรา

และก็ท่องคำอวยพรให้เรา ตอนนั้นน้ำตาไหลแล้วคิดถึงยายมากๆ แต่ก่อนเวลาไปหายาย

ตอนกลับยายก็จะผูกข้อมือนี้ให้ทุกครั้ง คุณยายสำลีแกคงงง ว่าอิหนูนี่จะร้องไห้ทำไมนะ 5555

ผูกข้อมือเสร็จแกก็ให้หวายลูกนิมิตจากคำชะโนดมาด้วย หวายนี่เค้าถือกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

สำหรับคนที่นับถือ เป็นสิ่งที่หายากมีแต่คนอยากได้ ต้องขอบคุณแกมากๆเลย



จริงๆขอบรรยายความรู้สึกหน่อย ตอนที่เรามาพักที่โฮมสเตย์ ต้องบอกว่า

อารมณ์เหมือนไปนอนบ้านยายเราที่ต่างจังหวัดเลย แต่นั่นมันทำให้เรารู้สึกดีมากถึงมากที่สุด

การพักโฮมสเตย์แบบนี้ถ้าเราจะหาการบริการตลอดเวลาจากเจ้าของบ้านเราอาจไม่ได้

เพราะเจ้าของบ้านเค้าก็ใช้ชีวิตของเค้า ซ่อมหลังคา ซ่อมระเบียง ซักผ้าหรือทำนู่นทำนี่อยู่

จะแวะมาทักทายเราบ้างมาบอกเมื่อทำอาหารเสร็จ แต่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกในด้านลบเลย

กลับรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านไม่ต้องมาเอาใจเรามากแต่ดูแลอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่พักโอมสเตย์แบบโฮมสเตย์จริงๆ คือสมัยนี้จะมีโฮมสเตย์ที่เป็นแค่ชื่อ

รู้สึกพอใจมากกับการพักโฮมสเตย์ครั้งนี้

ก่อนกลับคุณยายบอกให้เราแวะไปไหว้นมัสการพระธาตุบ้านเดียม

ก็คือวัดที่เราเดินผ่านไปผ่านมาระหว่างบ้านกับทะเลบัวแดงนั่นแหละค่ะ

ไหว้พระขอพรก่อนกลับเสร็จเราก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรของเราต่อไป



ทริปท่องเที่ยววิถีไทยๆ ทริปนี้สิ้นสุดแล้วนะคะ

พอจะเป็นไอเดียเล็กๆน้อยๆ ให้เพื่อนๆออกเดินทางตามหาความเป็นไทยกันได้บ้างรึเปล่า

จริงๆแล้วสถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้มีแค่นี้หรอกค่ะ มีมากมายแต่เวลาเราน้อยจึงเก็บได้ไม่หมด

วันไหนมีโอกาสจะเดินทางไปอีสานเหนืออีกรอบ เมื่อถึงวันนั้นจะกลับมาทำรีวิวอีกครั้ง

รักเมืองไทยเที่ยวเมืองไทยกันนะคะ เมืองไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายจริงๆ

ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมนะคะ สวัสดีค่ะ -/\-


Maysa Traveller

 วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.34 น.

ความคิดเห็น